นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายก รัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น จะเป็นไปตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้บอกไปแล้วว่า จะพิจารณาปรับลดราคาพลังงาน ทั้งราคาน้ำมันและไฟฟ้า โดยเท่าที่ดูเบื้องต้นโครงสร้างของราคาพลังงานทั้งหลายจะแบ่งได้ 2 ส่วน บางส่วนอยู่เหนือการควบคุม เช่น ราคาก๊าซ ซึ่งปรับลดในส่วนนั้นไม่ได้ แต่ในโครงสร้างราคาทั้งหมด มีหลายส่วนที่จะไปดู โดยในเบื้องต้นเชื่อว่าสามารถปรับลดได้อย่างแน่นอน
“หลังจากแถลงนโยบายเสร็จและมีการประชุม ครม.นัดแรก ก็ต้องมีมาตรการออกมา ซึ่งนายกฯ และกระทรวงพลังงานได้เตรียมการเรื่องนี้แล้ว ส่วนรูปแบบในการช่วยเหลือประชาชนนั้น อันดับแรก เพื่อให้เกิดความรวดเร็วจะใช้โครงสร้างเดิมก่อน ดูว่าส่วนไหนสามารถปรับลดลงไปได้ เพราะโครงสร้างราคาต่างๆเหล่านี้ประกอบไปด้วยหลายส่วน ส่วนไหนที่ปรับลดได้ก็ปรับลด ปรับลดราคาสุดท้ายที่ขาย เพียงแต่รัฐจะต้องยอมเสียสละในส่วนที่เคยได้อยู่ออกไป”
ส่วนจะใช้งบประมาณหรือวิธีการกู้ยืมมาแก้ไขปัญหานั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ต้องเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด และคุ้มค่าที่สุด ที่สำคัญเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง พยายามหาทางลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน หลักเกณฑ์ต่างๆของรัฐบาล คือการไม่ไปสร้างอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตของประชาชน ต้องเป็นรัฐบาลที่สร้างการสนับสนุนให้ภาคเอกชนเดินหน้าต่อไปในทุกเรื่อง
ด้านนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายลดราคาน้ำมันมีช่องทางอยู่ แต่ต้องขอไปดูในรายละเอียดกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษี และจะแจ้งให้ทราบ ซึ่งต้องไปชั่งน้ำหนักกันดู ส่วนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จะต้องถึงขั้นรื้อเลยหรือไม่นั้น นายกฤษฎา กล่าวว่าก็ต้องทำตามกระบวนการ ซึ่งหลักการก็คือหลักการ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เตรียมเสนอแนวทางการลดราคาพลังงานให้กับรัฐบาลใน 2 แนวทางคือ การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง โดยอาจลดไม่เต็มจำนวน 5 บาทต่อลิตรจากที่เคยดำเนินการก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจลดภาษีในกรอบ 2-5 บาทต่อลิตร เพื่อช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันในการชดเชยราคาขายปลีกให้กับประชาชน และการใช้กลไกกองทุนน้ำมันที่ยังมีวงเงินกู้เหลืออีก 55,000 ล้านบาท ที่สามารถนำมาใช้อุดหนุนราคาขายปลีกให้กับประชาชนได้ เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกค่อนข้างผันผวน ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 115 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ สกนช.จะต้องรอรับนโยบายของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน ในการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน ว่าจะลดราคาน้ำมันดีเซลเพียงประเภทเดียว หรือลดราคาน้ำมันเบนซินควบคู่กันไปด้วย เพราะหากจะให้ลดราคาน้ำมันทั้ง 2 ชนิด จำเป็นต้องใช้ 2 แนวทางข้างต้น เข้ามาเพื่ออุดหนุนราคาขายปลีกแทนประชาชน ส่วนการลดค่าการตลาด (กำไร) ของ ผู้ค้าน้ำมัน เห็นว่าจะเป็นแนวทางที่ทำได้ยาก เนื่องจากปัจจุบันค่าการตลาด อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และถือว่าอยู่ในกรอบที่กองทุนกำหนดไว้ไม่เกิน 2 บาทต่อลิตร บวกลบได้ 40 สตางค์ต่อลิตร โดยในปัจจุบันสถานะกองทุน ณ วันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ติดลบ 57,132 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 12,390 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) หรือก๊าซหุงต้มติดลบ 44,742 ล้านบาท
สำหรับแนวทางการลดค่าไฟฟ้าล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ระบุว่า หากรัฐบาลเจรจากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้ชะลอคืนหนี้ 120,000 ล้านบาทออกไปก่อน ค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายของปีนี้ (ก.ย.-ธ.ค.) จะอยู่ที่ 4.10-4.15 บาทต่อหน่วย แต่หากชะลอหนี้ไม่ได้ รัฐบาลต้องใช้งบประมาณเข้ามาอุดหนุน 15,000 ล้านบาท เพื่อทำให้ค่าไฟในงวดดังกล่าวเหลืออยู่ที่ 4.25 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันเรียกเก็บอยู่ที่ 4.45 บาทต่อหน่วย ตามมติ กกพ.