กรมสรรพากรเผย “กองสลากพลัส” ค้างภาษีกว่า 300 ล้านบาท ที่ผ่านมาขอผ่อนผันการชำระภาษี ด้านดีเอสไอพบเงินกว่า 42 ล้านบาทจากแก๊งฟอกเงินไหลเข้าบัญชีโดยตรงของผู้บริหารกองสลากพลัส
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่กรมสรรพากร ได้ตรวจประวัติการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ โดยเฉพาะการขายสลากดิจิทัลผ่านระบบออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา พบว่าบางรายยังชำระภาษีไม่ถูกต้อง อาทิ กองสลากพลัส เป็นต้น ซึ่งกรมสรรพากรได้เรียกให้ผู้รับผิดชอบจากกองสลากพลัสเข้ามารับทราบและดำเนินการชำระภาษีให้ถูกต้องต่อไป ซึ่งได้ชำระภาษีเพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังขอผ่อนผันการชำระ
ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบพบว่า กองสลากพลัส ชำระภาษีไม่ถูกต้องมาตั้งแต่ปี 2564 โดยมีภาระภาษีอยู่ที่ 500 ล้านบาท แต่กรมสรรพากรได้รับชำระเพียง 190 ล้านบาท ซึ่งกรมสรรพากร ก็ได้เรียกให้ผู้รับผิดชอบมาชำระภาษีเพิ่มอย่างต่อเนื่อง แต่กองสลากพลัสได้ทำการขอผ่อนผันการชำระมาตลอด โดยได้นัดอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ม.ค.นี้ สำหรับการประเมินการเสียภาษีของกองสลากพลัสนั้น เป็นการประเมินจากรายได้และกำไรสุทธิที่ได้จากการขายสลากออนไลน์จำนวน 7 ล้านฉบับต่องวด ซึ่งส่งผลให้กองสลากพลัสมีรายได้ 18,000 ล้านบาทต่อปี
ด้านสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะหลายหน่วยงาน เพื่อร่วมตรวจสอบถึงความผิดของกองสลากพลัสในด้านต่างๆ อาทิ แหล่งที่มาของเงินในการทำธุรกิจ การขายสลากเกินราคา การละเมิดลิขสิทธิ์ และการชำระภาษี เป็นต้น ขณะเดียวกันสำนักงานสลากฯได้ฟ้องร้องแพลต ฟอร์มขายสลากออนไลน์หลายราย ซึ่งยังอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลด้วย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2566 ที่ผ่านมา สำนักงานสลากฯได้หารือร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมทรัพย์สินทางปัญญา กองบัญชาการสอบสวนกลาง สำนักงานอัยการสูงสุด กรมสรรพากรและอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสำนักงานสลากฯได้อธิบายถึงที่มาที่ไปของการขายสลากออนไลน์ และขั้นตอนการฟ้องร้องและกฎหมายที่สำนักงานสลากฯนำมาดำเนินการจัดการกับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในส่วนกรณีที่ดีเอสไอออกหมายเรียกผู้บริหาร “กองสลากพลัส” เข้าให้ปากคำ เนื่องจากพบว่ามีกลุ่มขบวนการฟอกเงินรายสำคัญที่ได้จับกุมไปก่อนหน้านี้ มีการเบิกถอนเงินสดและนำไปเข้าบัญชีให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายราย โดยปรากฏหลักฐานว่า หนึ่งในผู้รับเงินจำนวนหลายสิบล้านบาทจากกลุ่มขบวนการนี้ คือผู้บริหารกิจการ “กองสลากพลัส” ซึ่งนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ “นอท กองสลากพลัส” ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ตนพร้อมชี้แจงกับทางดีเอสไอนั้น
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 5 ม.ค. คณะทำงานศูนย์คดียาเสพติด กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีการออกหมายเรียกไปนั้น ยืนยันว่าเป็นหมายเรียกให้ผู้บริหารกิจการกองสลากพลัสเข้าให้ปากคำในฐานะพยาน และยังคงมีกำหนดการเดิม คือ วันที่ 13 ม.ค.66 เวลาประมาณ 10.00 น. แต่ถ้านายพันธ์ธวัชต้องการเข้าพบก่อนกำหนด ก็สามารถแจ้งมายังเบอร์โทรศัพท์ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตามที่ระบุแนบท้ายในหมายเรียกได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษยังไม่ได้รับการประสานเปลี่ยนแปลงกำหนดนัดจากนายพันธ์ธวัชแต่อย่างใด
คณะทำงานศูนย์คดียาเสพติด ระบุถึงพฤติการณ์ของการรับเงินดังกล่าวจนเป็นเหตุให้มีการออกหมายเรียกในฐานะพยาน ว่า เนื่องจากทางดีเอสไอได้มีการสอบสวนขยายผลจนพบกลุ่มขบวนการฟอกเงินดังกล่าวตามที่เป็นข่าว ปรากฏพบว่าเส้นทางการเงินของขบวนการนี้ได้เชื่อมโยงมายังนายพันธ์ธวัชจำนวนกว่า 42 ล้านบาท (ณ ข้อมูลปัจจุบัน) แต่ดีเอสไอยืนยันว่าให้ความเป็นธรรม เพื่อให้นายพันธ์ธวัชได้เตรียมเอกสารต่างๆมาชี้แจงที่มาของเงินจำนวนหลายสิบล้านบาทนี้กับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและหากให้การเป็นประโยชน์หรือมีข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือ ก็จะให้ความเป็นธรรม เพราะปัจจุบันนายพันธ์ธวัชยังอยู่ในสถานะพยาน “มั่นใจในพยานหลักฐานที่ได้สืบสวนสอบสวนขยายผลมา จนพบว่าบุคคลดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องแบบไม่ปกติ มีลักษณะการค้าขายที่มีความผิดปกติ รวมถึงเงินหลายสิบล้านบาทนี้ที่เข้าสู่บัญชีเขา ก็มาจากกลุ่มที่ประกอบอาชีพไม่สุจริตอย่างขบวนการฟอกเงิน” คณะทำงานศูนย์คดียาเสพติดระบุ.