หากกล่าวถึง “สถาบันวิทยสิริเมธี” (Vidyasirimedhi Institute of Science and Technology: VISTEC) แวดนักวิจัยทั้งในระดับประเทศ และสากล ต่างยอมรับในฐานะมหาวิทยาลัยวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ แม้จะเป็นสถาบันฯ ที่เปิดได้ไม่นานก็ตาม โดยเว็บไซต์ Nature Index ซึ่งเป็นแหล่งอ้างอิงสำหรับการค้นหาผลงานวิจัยลำดับต้นๆ ของโลก ได้จัดอันดับให้สถาบันวิทยสิริเมธีเป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 12 ของโลก ในหมวดมหาวิทยาลัยที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำจากประเทศต่างๆ นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของไทย และอันดับ 3 ในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN) ด้านสาขา Chemistry และในภาพรวมของทุกสาขาวิชา (Life Sciences, Physical Sciences, Chemistry และ Earth and Environmental Sciences) สถาบันฯ อยู่ในอันดับ 1 ของประเทศ
ตลอดระยะเวลา 5 ปีนับจากก่อตั้ง VISTEC ในปี 2558 ได้ทำภารกิจตามเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นที่จะมุ่งสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ รวมทั้งส่งเสริมผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้า (Frontier Research) โดยมุ่งร่วมมือกับสถาบันการศึกษา และองค์กรภาครัฐรวมถึงเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนางานวิจัยร่วมกัน และสนับสนุนการนำไปใช้ประโยชน์
ปัจจุบัน VISTEC เปิดสอนใน 4 สำนักวิชา ได้แก่ สำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล (School of Molecular Science and Engineering: MSE) สำนักวิชาวิทยาการพลังงาน (School of Energy Science and Engineering: ESE) สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล (School of Biomolecular Science and Engineering: BSE) และสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (School of Information Science and Technology: IST) โดยมีศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ และและเทคโนโลยีชั้นแนวหน้า (Frontier Research Center: FRC) เป็นกลไกลสนับสนุนการดำเนินงานวิจัย
ทั้ง 4 สำนักวิชาครอบคลุมเรื่องพลังงาน และสิ่งแวดล้อม วัสดุขั้นสูง ไบโอเทคโนโลยี และดิจิทัล ซึ่งเป็นแนวโน้มโลกที่คาดการณ์ โดยองค์กรเพื่อการพัฒนาและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (OECD Megatrends) ที่จะเป็นวิทยาการและเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกในปัจจุบันและในอนาคต
ที่ผ่านมา VISTEC ได้ร่วมมือกับๆ หลายองค์กรที่สำคัญ คือ การทำข้อตกลงกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินโครงการ “พัฒนาบัณฑิต วิจัยคุณภาพสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” เพื่อพัฒนานิสิตของสถาบันฯ ให้มีขีดความสามารถสูงในสาขาวิจัยที่ตอบสนองความต้องการของประเทศ และร่วมกันจัดหาทุนวิจัยทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาหลักสูตรปริญญาเอกที่เน้นทำวิจัยเป็นหลัก และสนับสนุนห้องปฏิบัติการ เครื่องมือวัสดุอุปกรณ์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลวิจัย ทั้งจับมือในการถ่ายทอดผลงานนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์
ความแข็งแกร่งของ VISTEC ทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางการบ่มเพาะนวัตกรรมของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) อย่างเป็นรูปธรรม เพราะแต่ละหัวข้องานวิจัยเน้นการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-curve ในด้าน Digital, Robotics และ Bio-Industry ทำให้ให้ไทยเดินไปสู่โลกแห่งอนาคตได้อย่างเข้มแข็ง
VISTEC ผลิตผลงานวิจัยออกมาอย่างหลากหลายที่ช่วยแก้โจทย์ประเทศ อาทิ งานวิจัยเพื่อเร่งขับเคลื่อน Synthetic Biology เรื่อง “การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ขยะอินทรีย์ผ่านกระบวนการชีววิทยาสังเคราะห์” ในโครงการขยะเพิ่มทรัพย์ C-ROS (Cash Return from Zerowaste and Segregation of Trash) ที่จะเปลี่ยนขยะอินทรีย์จากครัวเรือนให้กลายเป็นสารมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้สูงขึ้นเกินร้อยเท่า และลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเทคโนโลยีต้นแบบถูกนำไปดำเนินการแล้วที่ชุมบนบ้านมหาโพธิ์ จังหวัดน่าน
โครงการวิจัยด้านระบบปัญญาและหุ่นยนต์ (AI and Robotic) เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถเคลื่อนไหวในพื้นที่ซับซ้อน เข้าถึงยาก และอันตรายสำหรับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงหุ่นยนต์ช่วยดูแลผู้สูงอายุและผู้พิการ เป็นต้น
ผลงานวิจัยคุณภาพ และเป็นประโยชน์ของ VISTEC อยู่ภายใต้ความตั้งใจของภาคส่วนต่างๆ ที่จะผลิตนักวิทยาศาสตร์คุณภาพสูง และผลงานวิจัยที่สามารถต่อยอดพัฒนาประเทศ รวมถึงการสร้างองค์ประกอบที่เข้ามาสนับสนุนการเรียนการสอนและการทำวิจัยของสถาบันฯ ทั้งบุคลากรที่คัดสรรมาอย่างเข้มข้น นิสิตที่มีความมุ่งมั่น และเครื่องมือที่ล้ำสมัย รวมถึงความร่วมมือ และการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานและองค์กรหลายแห่งรวมถึงกลุ่ม ปตท. ซึ่งได้ริเริ่มก่อตั้งสถาบันแห่งนี้
ทำให้ VISTEC ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติอย่างรวดเร็ว และเป็นสถาบันฯ ที่คนรุ่นใหม่ ซึ่งต้องการเป็นนักวิทยาศาสตร์ มอง VISTEC เป็นเป้าหมายแรกๆ ที่จะเข้ามาศึกษาต่อยอด ปัจจุบัน VISTEC ได้ผลิตบัณฑิตออกสู่สังคมไปแล้วหลายราย โดยล่าสุดมีผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันฯ ประจำปี 2564 จำนวน 30 ราย เป็นระดับปริญญาเอก จำนวน 26 ราย และระดับปริญญาโท จำนวน 4 ราย เมื่อจบการศึกษาทั้งหมดได้กระจายไปทำงานในภาคส่วนต่างๆ เป็นกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมตอบโจทย์การพัฒนาประเทศอย่างเต็มภาคภูมิ
นับจากนี้ VISTEC ยังคงเดินหน้าต่อไปในการสร้างผลงานวิจัย และนวัตกรรมช่วยยกระดับ รวมทั้งขีดความสามารถของประเทศไทยในการแข่งขันระดับนานาชาติ ทั้งช่วยยกศักยภาพขององค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของคนไทยให้อยู่ในระดับก้าวหน้า ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาอย่างยั่งยืน