ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “อสังหาริมทรัพย์พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” จัดโดยสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ว่าอสังหาริมทรัพย์ถือว่าเป็นภาคเศรษฐกิจขนาดใหญ่ คิดเป็นสัดส่วน 9.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) มีการจ้างงาน 2.8 ล้านคน เกี่ยวข้องธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ
ทั้งนี้ จากนโยบายของรัฐบาลที่ได้เปิดรับวีซ่าสำหรับผู้พำนักในประเทศไทยระยะยาว (LTR) ที่ให้วีซ่าแก่คน 4 กลุ่มเป้าหมายระยะเวลา 10 ปี ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ไทยให้วีซ่ากับคนต่างชาติเกิน 1 ปี และไม่ต้องติดเงื่อนไขการมารายงานตัวกับทางการ 90 วัน ในช่วงเดือนแรกที่เปิดรับใบสมัคร โดยมีชาวต่างชาติที่ยื่นใบสมัครมาแล้ว 600 ราย พบว่าเป็นกลุ่มยุโรป (EU) 30% อเมริกา 20% ที่เหลือเป็นกลุ่มประเทศอื่นๆ กลุ่มที่ยื่นใบสมัคร 40% เป็นกลุ่มผู้ที่ต้องการเข้ามาเกษียณอายุในประเทศไทย ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจในช่วงเดือนแรก เพราะเรายังไม่ได้โปรโมตอะไรเลยและจะโปรโมตมากขึ้น โดยมีเป้าหมายดึงคนกลุ่มนี้เข้ามาอยู่ในประเทศไทย 1 ล้านคน หรือปีละ 200,000 คน
ดังนั้น รัฐบาลอยู่ระหว่างรับฟังข้อเสนอจากสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เกี่ยวกับข้อเสนอเพิ่มเติมในการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ซึ่งแต่เดิมเป็นการอนุญาตให้ซื้อที่อยู่อาศัยได้เฉพาะคอนโดมิเนียม โดยมีสัดส่วนการถือครองของชาวต่างชาติในโครงการได้ไม่เกิน 49% ของโครงการทั้งหมด เมื่อรัฐบาลมีนโยบายในการให้วีซ่า LTR แล้วเงื่อนไขของการมาพำนักระยะยาว ในไทยของกลุ่มต่างชาติเป้าหมายของไทย คือต้องการที่จะซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัย ทั้งบ้านเดียว และบ้านจัดสรรที่เป็นทาวน์เฮาส์มีรั้วรอบขอบชิด โดยรัฐบาลก็จะรับฟังข้อคิดเห็น
“หากถามผมเงื่อนไขเบื้องต้น อาจใช้เงื่อนไขเดียวกับคอนโดฯคือให้ต่างชาติถือครองได้ 49% ในโครงการบ้านจัดสรร เช่นเดียวกับคอนโดฯ และคนไทยยังซื้อบ้านในโครงการในสัดส่วนมากกว่า 51% หรือว่าอาจไม่มีข้อกำหนดในเรื่องนี้ไปเลย ในอนาคต เพราะหลายประเทศก็ปลดล็อกเงื่อนไขเหล่านี้ เพราะบ้านและที่อยู่อาศัยถือว่าเป็นหลักสำคัญของการอยู่อาศัยและการทำงานในประเทศต่างๆ หากไทยปลดล็อกตรงนี้ ก็มีโอกาสมากขึ้นในการแข่งขันดึงเอาคนที่มีความสามารถสูง รายได้สูงเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นได้”.