ยังไม่ให้ขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พาณิชย์ต่ออายุสินค้าและบริการควบคุม 51 รายการ

“จุรินทร์” เผย กกร.ไฟเขียวต่ออายุสินค้าและบริการควบคุม 51 รายการ อีก 1 ปี สิ้นสุด 30 มิ.ย.66 ยันยังไม่ให้ขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ย้ำกำลังพิจารณา ยึดหลัก ผู้ผลิตอยู่ได้ ผู้บริโภคกระทบน้อยสุด

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ที่ประชุมมีมติให้ต่ออายุสินค้าและบริการ 51 รายการ แยกเป็นสินค้า 46 รายการ และบริการ 5 รายการ ที่อยู่ในบัญชีสินค้าและบริการควบคุม ภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ออกไปอีก 1 ปี หรือตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.65-30 มิ.ย.66 เพื่อกำกับดูแลราคาให้นานที่สุด และลดผลกระทบประชาชน

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีผู้ประกอบการหลายรายยื่นขอปรับขึ้นราคาขายสินค้ามายังกรมการค้าภายใน แต่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา เพราะต้องดูรายละเอียด ไม่ใช่ยื่นแล้วจะอนุญาต ต้องดูลึกว่าต้นทุนเพิ่มขึ้นเท่าไร ถ้าต้องขึ้นราคาขาย ต้องเป็นอย่างไร แต่จะยึดหลักผู้ผลิตอยู่ได้ ผู้บริโภคได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ตรึงราคามาหลายเดือนแล้ว และทุกคนเห็นว่าประสบความสำเร็จ เพราะถ้าปล่อยไปตามปกติ ราคาสินค้าอาจปรับขึ้นไปมาก ส่วนที่มีกระแสข่าวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขอปรับขึ้นราคาขายจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมากนั้น ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้อนุญาตให้ปรับขึ้นราคา โดยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นหนึ่งในสินค้าควบคุม ที่ก่อนเปลี่ยนแปลงราคาขาย ต้องขออนุญาตก่อนทุกครั้ง สำหรับน้ำมันพืช ปลากระป๋อง ขณะนี้ ยังไม่ขาดตลาดแน่นอน ส่วนน้ำมันปาล์มได้ตั้งคณะอนุกรรมการ ประกอบด้วยภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 5 ฝ่าย เพื่อติดตาม กำกับดูแล กำหนดสต๊อกในประเทศ เพื่อให้เพียงพอและสมดุลกับความต้องการของประชาชน

“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ขอปรับราคามาแล้วหลายครั้ง แต่ขณะนี้ยังไม่ได้อนุญาต ยังขอความร่วมมือให้ตรึงราคาขายให้นานที่สุด และต้องขอบคุณ ที่ผู้ผลิตให้ความร่วมมือช่วยตรึงราคาเป็นอย่างดี เพราะทราบว่า ถ้าขึ้นราคาแล้ว จะกระทบประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ที่ต้องพึ่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบ ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ยังพออยู่ได้และไม่ขาดทุนจนหยุดผลิต ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาซ้ำซ้อนคือ สินค้าขาดตลาด ความสมดุลเป็นเรื่องยากที่กระทรวงพาณิชย์ต้องดูด้วยความระมัดระวัง”

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ และธุรกิจ กล่าวถึงการประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่าได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยลงเหลือ 3.1% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 4.2% เมื่อเดือน พ.ย.64 ซึ่งมาจากผลกระทบด้านราคาพลังงานโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญ ส่วนการส่งออกปีนี้ปรับเพิ่มเป็นขยายตัว 6.3% จากเดิม 5.4% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มเป็น 6.0% จากเดิม 1.5% โดยการปรับลดประมาณการอยู่ภายใต้สมมติฐานที่เศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัว 2.9% ปริมาณการค้าโลกลดลงมาอยู่ที่ 4% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 6.1 ล้านคน ค่าเงินบาท 34.25 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบดูไบ 110 เหรียญฯต่อบาร์เรล ดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี อยู่ที่ 0.50-1.00% แต่หากราคาพลังงานพุ่งสูงถึง 120-130 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล จะส่งผลให้จีดีพีไทยปีนี้เหลือขยายตัว 2.3%
สาเหตุที่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ เพราะมีปัจจัยลบต่อเนื่อง ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนทำให้ราคาพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อของโลกสูงขึ้น, โควิดที่ยังคงยืดเยื้อมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ, ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, ขาดแคลนสินค้าในห่วงโซ่การผลิต มีผลต่อการส่งออกของไทย และเศรษฐกิจจีนยังคงไม่แน่นอน รวมถึงความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีน ที่อาจมีผลต่อการค้าโลก

“การปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลทุก 1 บาท/ลิตร มีผลทำให้จีดีพีไทยลดลง 0.2% และการขึ้นราคาเบนซินทุก 1 บาท/ลิตร ทำให้จีดีพีลดลง 0.1% หากขึ้นราคาทั้งดีเซลและเบนซินรวมกันจะทำให้จีดีพีลดลง 0.3% ต่อปี โดยเศรษฐกิจโลกโดนผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพงมาตั้งแต่เดือนม.ค.65 ที่ราคาขึ้นมาประมาณ 10 บาท/ลิตร ทำให้เราต้องย่อเศรษฐกิจลงทันทีประมาณ 1% เหลือ 3.1% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 4.2%”.