นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กยศ.ได้มีมติให้ขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงิน กยศ. สู้ภัยโควิด ไปสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2565 จากเดิมจะสิ้นสุด 30 มิ.ย.นี้ โดยมาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย การลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเหลือ 0.01% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้, ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชี, ลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับกรณีชำระหนี้ปิดบัญชี, ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ, ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี สำหรับผู้กู้ที่ไม่ถูกดำเนินคดี
ทั้งนี้ ในปีการศึกษา 2564 กองทุนมีเงินงบประมาณให้กู้ยืม 38,000 ล้านบาท เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษา 600,000 ราย โดยสามารกู้ยืมเงินได้โดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว ให้มีแหล่งเงินทุนนำไปใช้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายดำรงชีพ โดยที่ผ่านมา กยศ.ได้ปล่อยกู้ไปแล้ว 6.21 ล้านราย คิดเป็นเงิน 692,253 ล้านบาท แบ่งเป็นชำระหนี้เสร็จสิ้น 1.56 ล้านราย คิดเป็นเงิน 114,821 ล้านราย อยู่ระหว่างชำระหนี้ 3.52 ล้านราย คิดเป็นเงิน 450,105 ล้านบาท อยู่ในช่วงปลอดหนี้ 1.06 ล้านราย คิดเป็นเงิน 121,818 ล้านบาท เสียชีวิตและทุพพลภาพ 67,332 ราย คิดเป็นเงิน 5,509 ล้านบาท
“ในช่วงโควิด 2 ปีที่ผ่านมา ได้ชะลอการฟ้องราว 180,000 ราย ส่วนอีก 1,000 ราย จำเป็นต้องยื่นฟ้อง เพราะจะหมดอายุความ โดยกรณีที่ไม่ฟ้องมีกระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ เราไม่ได้หน้าเลือด ไม่ได้ขูดรีด เมื่อเป็นหนี้ หากชำระไม่ไหว ก็มาเจรจาชำระหนี้ได้ เพราะบางรายยังชำระเดือนละ 10 บาทได้เลย ดังนั้น หากเป็นหนี้ กยศ.ควรมาเจรจา เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ เพราะเมื่อเป็นหนี้ก็ควรชำระ เพื่อสร้างวินัยการเงินให้ผู้กู้ยืมเงินด้วย”.