ค่ายรถส่อวุ่นยาว พิษสงครามทำชิป-ชิ้นส่วนขาดแคลนหนัก ทุบยอดรถยนต์นั่งวูบ จับตาสถานการณ์ไม่กะพริบ กัดฟันตรึงเป้า 1.8 ล้านคัน จี้รัฐเร่งเพิ่มปั๊มชาร์จอีวี เหตุคนยังกังวลขับไปไร้ที่เติม พร้อมขอให้ดึงราคาเหลือ 6 แสนกว่า มั่นใจอีวี ไทยบูมกระฉูดแน่
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 79,451 คัน ลดลง 0.02% จากเดือน ก.พ. 2564 และลดลง 13.77% จากเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากการชะลอผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่น เป็นผลจากการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วน ทำให้การส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ขณะเดียวกันยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 2 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.) อยู่ที่ 149,284 คัน ลดลง 2.81% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่มีมูลค่าการส่งออก 88,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.49% จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนหน้า
“ขณะนี้เป้าหมายส่งออกรถยนต์ของไทยที่ตั้งไว้ 1 ล้านคัน ไม่แน่ใจว่าจะมีผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนชิปหรือไม่ เพราะรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตสินแร่ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตชิปและแบตเตอรี่ ทำให้ราคาสูงขึ้นจากเดิมไม่น้อยกว่า 50% ต้องรอดูสถานการณ์อีก 1-2 เดือน ซึ่งสองเดือนแรกของปีนี้ แม้ยังไม่เกิดเหตุก็มีผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนชิปอยู่แล้ว ต้องดูว่าสถานการณ์ยืดเยื้อหรือลุกลามบานปลายหรือไม่ แม้ก่อนหน้านี้จะประเมินว่าจะเกิดปัญหาความขัดแย้ง แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเร็วจากที่คาดไว้ว่าจะเป็นช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้ ซึ่งขณะนี้ยังคงตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ปีนี้ไว้ที่ 1.8 ล้านคัน”
สำหรับการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 155,660 คัน เพิ่มขึ้น 0.30% เทียบ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากการผลิตรถกระบะขายในประเทศและผลิตส่งออกที่เพิ่มขึ้น 27.82% แต่ยอดผลิตรถยนต์นั่งลดลงจากการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนในบางรุ่น และยังกังวลการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนที่อาจรุนแรงขึ้นจากสงครามยูเครนจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
ล่าสุดในขณะนี้โรงงานโตโยต้าในรัสเซียได้ปิดไปแล้ว เนื่องจากมีปัญหาสินแร่ที่ผลิตแบตเตอรี่ และเซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลน จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาพลังงานมีปัญหา หวังว่า ทุกอย่างจะคลี่คลายโดยเร็ว
สำหรับจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 2 เดือน ของปีนี้อยู่ที่ 307,407 คัน เพิ่มขึ้น 1.35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนยอดขายภายในประเทศมีจำนวน 74,489 คัน เพิ่มขึ้น 26.3% เป็นผลจาก การเพิ่มขึ้นจากการที่รัฐบาลอนุญาตให้จัดกิจกรรมด้านเศรษฐกิจมากขึ้น การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 การรับประกันรายได้เกษตรกร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน
นอกจากนี้ ยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ในปีนี้คาดว่า มียอดจดทะเบียน 4,000-5,000 คัน จากปีที่ผ่านมา มียอดจดทะเบียน 1,900 คัน แต่ผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอ และราคาที่ยังสูงอยู่ หากมีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาประมาณคันละ 600,000-650,000 บาทได้ และจากนโยบายที่รัฐส่งเสริมที่ชัดเจน รวมถึงค่ายรถต่างๆเริ่มตื่นตัวในการออกโปรโมชันยานยนต์ไฟฟ้า มีความเป็นไปได้ที่ยอดจดทะเบียนปีนี้จะเพิ่มเป็น 8,000-10,000 คันได้.