สภาดิจิทัลฯ เผย บิ๊กตู่ ไฟเขียวข้อเสนอปลดล็อก Capital Gain tax สำหรับการลงทุนในสตาร์ทอัพไทย สรรพากรรับลูก คาดใช้จริงใน 3 เดือน
เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 65 ที่ผ่านมา นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย หรือ DCT กล่าวว่า สภาดิจิทัลฯ ได้รายงานต่อที่ประชุม ศบศ. ถึงความคืบหน้าในการดำเนินการที่สภาดิจิทัลฯ ได้ร่วมกับกรมสรรพากร และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ สวทช. NIA และ ก.ล.ต. เพื่อจัดทำร่าง พ.ร.ฎ.ยกเว้นภาษี Capital Gains Tax สำหรับการลงทุนในสตาร์ทอัพไทย
โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของกรมสรรพากรในการดำเนินการเสนอร่าง พ.ร.ฎ. ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป พร้อมกันนี้สภาดิจิทัลฯ ได้เสนอให้มีการจัดโรดโชว์นำทัพโดยนายกรัฐมนตรี เพื่อส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ไปยังกลุ่มนักลงทุนและกลุ่มสตาร์ทอัพที่เป็นเป้าหมายตลอดปี รวมถึงการผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ เกษตรกร ประมง รวมถึง Soft Power ด้านภาพยนตร์ กีฬา และ E-Sport พร้อมการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประกอบการในเรื่องต่างๆ
เช่น มีที่ปรึกษาในการตอบคำถาม การช่วยประสานงานกับภาครัฐในเรื่องที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อมูลและคู่มือการใช้สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เป็นต้น ทั้งนี้สภาดิจิทัลฯได้เชื่อมั่นว่ามาตรการยกเว้นภาษี Capital Gains Tax และแนวทางส่งเสริมดังกล่าวนี้จะสร้างสตาร์ทอัพไทยรายใหม่เป็นจำนวนถึง 5,000 ราย ในปี 2565 ถือเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยที่เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของทุกภาคส่วน
นายศุภชัย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จ และเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจในประเทศไทย นับจากนี้ สภาดิจิทัลฯ จะเร่งดำเนินการประสานและร่วมทำงานในการออก พ.ร.ฎ. ฉบับนี้อย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันนโยบายส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และสตาร์ทอัพ แก่ผู้ประกอบการไทยให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด
นอกเหนือจากภาพการลงทุนแล้ว สภาดิจิทัลฯ ยังคงให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนา Ecosystem ให้แข็งแกร่ง โดยจะเน้นพัฒนากำลังคนดิจิทัลให้เทียบเท่าระดับสากล คือ ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาทักษะดิจิทัลในกลุ่มทักษะขั้นสูง 3.5 ล้านคน ภายในปี 2570
โดยจะมีการสร้างมาตรฐานและใบรับรองหลักสูตรสำหรับทักษะดิจิทัลขั้นสูง โดยจะส่งเสริมการพัฒนาทักษะของกำลังคน การพัฒนาแพลตฟอร์มและคอนเทนต์ที่ได้รับการรับรอง สนับสนุนให้มีการเลือกเรียนในสาขาดิจิทัลขั้นสูงมากขึ้น รวมทั้งการดึงผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการพัฒนาและเพิ่มจำนวนกลุ่มแรงงานดิจิทัลขั้นสูงในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ศบศ. ได้เห็นชอบในมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ และได้มอบหมายให้สภาดิจิทัลฯ กระทรวงการคลัง และกรมสรรพากร หาข้อสรุปในการในการปรับปรุง พ.ร.ฎ. ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ปี 2559 (ฉบับที่ 597) และปี 2560 (ฉบับที่ 636) เพื่อรายงานความคืบหน้าให้ฝ่ายเลขาฯ และ ศบศ. ภายใน 30 วัน
อีกทั้งยังมอบหมายให้ทางสภาดิจิทัลฯ เป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันบูรณาการและกำหนดแนวทางพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลของประเทศ
ทั้งนี้ สภาดิจิทัลฯ ยังคงเดินหน้าในการให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการลงทุนสำหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพในประเทศไทย ซึ่งถือว่าครั้งนี้เป็นความร่วมมือที่ดีในการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริงของทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง, ภาคเอกชน พร้อมทั้งกลุ่มนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสภาดิจิทัลฯ จะดำเนินการผลักดัน พ.ร.ฎ. ยกเว้นภาษี Capital Gains Tax ให้ออกมาเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ในมิติต่างๆ ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอย่างยั่งยืนต่อไป.