นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมศุลกากรมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บรายได้ ด้วยการขยายติดตั้งเครื่องเอกซเรย์คร่อมสายพานลำเลียงกระเป๋าเพื่อตรวจสแกนสิ่งของผิดกฎหมายในกระเป๋าเดินทางที่โหลดมาใต้ท้องเครื่องบินทุกใบเป็นการป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีนำเข้า ซึ่งเมื่อต้นปี 64 ติดตั้งเครื่องดังกล่าวที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว 23 เครื่อง มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท หากสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น มีการเดินทางระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ก็จะเดินหน้าติดตั้งที่สนามบินดอนเมืองและภูเก็ต เพื่อให้ครอบคลุม และเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับสินค้าหลบภาษีด้วย
“หลังจากที่ได้ตั้งเครื่องเอกซเรย์คร่อมสายพานมาสักระยะ ผลปรากฏว่า สามารถจับกุมของผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด สินค้าแบรนด์เนม เป็นต้น ได้มากขึ้นกว่าเดิม แม้ช่วงนี้จะอยู่ในช่วงควบคุมการเดินทางเข้าออกต่างประเทศ เนื่องจากสถานการณ์โควิดก็ตาม แต่ก็ยังมีการลักลอบนำเข้ามากับผู้โดยสารที่ยินยอมมากักตัวในประเทศไทย เป็นเวลา 14 วัน และบุคคลกลุ่มนี้ส่วนมากเป็นรายเดิมๆ ที่เคยกระทำผิดมาแล้ว ดังนั้น จึงเตรียมขยายนำเครื่องเอ็กซเรย์คร่อมสายพานเหล่านี้ไปติดตั้งที่สนามบินดอนเมือง และภูเก็ตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ”
นายพชร กล่าวว่า หลังจากที่มีการทยอยฉีดวัคซีน ทำให้บรรยากาศทั่วโลกเริ่มดีขึ้น มีกิจกรรมทางการเศรษฐกิจมากขึ้น มีผลทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว มีการนำเข้าเครื่องจักร สินค้าทุน เพื่อนำมาผลิตสินค้าในประเทศ ส่งผลต่อให้กรมศุลกากรสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ยังต่ำกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณที่กำหนดไว้ 104,000 ล้านบาท เนื่องจากการประเมินการจัดเก็บรายได้ช่วงนั้นพิจารณาบนฐานเศรษฐกิจขยายตัว 5%
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค.2563- ม.ค.2564) กรมภาษี ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2563 ทั้งหมด โดยแบ่งเป็น 1.กรมสรรพากร จัดเก็บ
รายได้ 486,655 ล้านบาท ลดลง 53,988 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้ที่ 540,643 ล้านบาท 2.กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้ 192,331 ล้านบาท ลดลง 20,350 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่จัดเก็บรายได้ 212,681 ล้านบาทและ 3.กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้ 32,853 ล้านบาท ลดลง 2,525 ล้านบาท จากปีที่แล้วเก็บได้ 35,378 ล้านบาท.