มิติใหม่แห่งการขาย อีลิทการ์ดเปิดตัวโครงการอีลิท เฟล็กซิเบิล ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย 10 ล้านบาท ได้สิทธิรับบัตรอีลิทแถมวีซ่าระยะยาว ส่วนสมาชิกบัตรที่ลงทุนในไทย 30 ล้านบาทขึ้นไป รับใบอนุญาตทำงาน (Work Permit)ไปเลย โดยไม่ต้องถือวีซ่าประเภท Non–Immigrant B–Visa คาดดันเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในไทยเพิ่มได้ 2 หมื่นล้านบาท
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ได้เรียกประชุมเพื่อหาแนวทางกระตุ้นการซื้อและลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในไทยของชาวต่างชาติผ่านการเป็นสมาชิกบัตรไทยแลนด์ อีลิทการ์ด ภายใต้โครงการอีลิท เฟล็กซิเบิล โดย ททท.จะเสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบศ.ในเร็วๆนี้
สำหรับรายละเอียดของโครงการประกอบด้วย 2 ทางเลือก ทางเลือกที่ 1 คือ Flex One เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์พ่วงบัตรอีลิทการ์ด โดยชาวต่างชาติที่ลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ในไทย 10 ล้านบาทขึ้นไปทางผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯสามารถซื้อบัตรอีลิทการ์ด มูลค่า 500,000 บาทถึง 2 ล้านบาทแถมให้ผู้ซื้อ นอกเหนือจากการให้วีซ่าระยะยาว 5-20 ปีขึ้นกับประเภทของบัตรฯมอบแก่ลูกค้าชาวต่างชาติ แนวทางนี้น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายอสังหาฯได้ง่ายขึ้น จูงใจผู้ซื้อชาวต่างชาติที่อยากได้วีซ่าระยะยาวเข้ามาลงทุนในไทยในสถานการณ์โควิดแบบนี้
ส่วนทางเลือกที่ 2 คือ Flex Plus ชาวต่างชาติต้องสมัครเป็นสมาชิกบัตรอีลิทการ์ดก่อน มูลค่าบัตรไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งจะได้วีซ่าระยะยาว 10 ปีขึ้นไป แล้วต้องลงทุนในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯขึ้นไปหรือประมาณ 30 ล้านบาท ภายใน 1 ปี จะได้สิทธิ์ใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ในไทย ซึ่งสมาชิกบัตรอีลิทการ์ดปัจจุบันที่ยังมีอายุสมาชิกเหลือไม่น้อยกว่า 5 ปี สามารถเข้าเงื่อนไขนี้ได้ เพราะ ททท.ต้องการให้คงเงินทุนไว้ในไทยไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยสามารถลงทุนได้ทั้งในภาคอสังหาฯหุ้น พันธบัตร พันธบัตรรัฐบาล และเงินฝาก
ทั้งนี้ หากที่ประชุม ศบศ.เห็นชอบในหลักการก็จะนำเสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป เพื่อพิจารณาให้สมาชิกบัตรอีลิทการ์ด ซึ่งได้วีซ่าระยะยาวสามารถยื่นขอใบอนุญาตทำงานได้โดยไม่ต้องถือวีซ่าประเภท Non-Immigrant B-Visa เพราะตามหลักกฎหมายแล้วจะต้องถือ Non-Immigrant B-Visa ก่อน ถึงจะขอใบอนุญาตทำงานได้
“ททท.คาดว่าจะเริ่มดำเนินโครงการอีลิท เฟล็กซิเบิล ได้ในปี 2564 หากสามารถขายบัตรอีลิท การ์ดผ่านโครงการดังกล่าวได้ 1,000 บัตร แบ่งเป็นยอดขายจากทางเลือกที่ 1 จำนวน 500 บัตร คิดเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท และยอดขายจากทางเลือกที่ 2 อีก 500 บัตร คิดเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจไทยรวมไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมกับมูลค่าเงินสะพัดที่เกิดจากสมาชิกบัตรอีลิทการ์ดจะมาใช้จ่ายในประเทศไทย”
นอกจากนี้ นายสุพัฒนพงษ์ได้มอบหมายให้ ททท. กับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA และสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่คนกรุงเทพฯ ภายใต้รูปแบบนิวนอร์มอล ไม่ให้กระจุกอยู่ที่ใดที่หนึ่ง และยังเป็นการดึงคนต่างจังหวัดเข้ามาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ เน้นรองรับกลุ่มครอบครัว โดยเบื้องต้นอาจจะเป็นการจัดอีเวนต์ตั้งแต่เดือน พ.ย.นี้ไปจนถึงช่วงปีใหม่.