นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่ ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องทราเวล บับเบิล หรือการจับคู่ท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่ควบคุมโควิด-19 ได้ดี แต่เห็นชอบ 3 โครงการเบื้องต้นนำร่องด้านท่องเที่ยวก่อน คือ 1.การอนุญาตให้ต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในรูปแบบแพ็กเกจทัวร์ที่เชื่อมโยงกับการแพทย์และสุขภาพ 2.การดำเนินการต่อผู้ถือบัตรสมาชิกไทยแลนด์ อีลิท การ์ด 3.การอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย
สำหรับการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับการแพทย์และสุขภาพ เบื้องต้นกำหนดไว้ 8 แพ็กเกจ 8 จุดหมายปลายทาง เริ่มจากแพ็กเกจลักชัวรี่ จังหวัดเชียงใหม่ 7 วัน 6 คืน, ภูเก็ต 6 วัน 5 คืน, ภูเก็ต 8 วัน 7 คืน, ล่องเรือยอชต์ จังหวัดกระบี่ 5 วัน 4 คืน, เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี 7 วัน 6 คืน, เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี 5 วัน 4 คืน, พัทยา ชลบุรี 6 วัน 5 คืน และพัทยา ชลบุรี 11 วัน 10 คืน
ส่วนผู้ถือบัตรสมาชิกไทยแลนด์ อีลิท การ์ดนั้น กำหนดนำร่องให้กลุ่มที่จะขอเดินทางเข้ามาในไทย 200 รายก่อน ทั้งนักธุรกิจ นักลงทุน ผู้ที่มีครอบครัวอาศัยอยู่ในไทย รวมทั้งกลุ่มนักเรียน นักศึกษาและผู้ปกครอง กลุ่มผู้ที่ได้รับสิทธิพำนักอาศัยในไทย โดยต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของรัฐบาล และศูนย์ ศบค.เคร่งครัด และต้องอยู่ในโรงแรมที่เป็นสถานที่กักตัวทางเลือก โดยมีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ 100,000 บาท ขณะที่การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย ต้องมีใบรับรองแพทย์และเอกสารตามที่ ศบค.กำหนด ต้องเข้ากักกันในโรงแรม 14 วันและตรวจหาเชื้อตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข มีเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุขติดตามตลอดเวลาที่อยู่ในไทย โดยทีมงานทุกคนต้องมีประกันคุ้มครองค่ารักษาโรคโควิด เป็นต้น “ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่แจ้งความประสงค์เข้ามาถ่ายทำในไทย 7 เรื่อง จะมีชาวต่างชาติเข้ามา 154 คน และใช้ทีมงานไทย 1,100 คน ใช้เงินลงทุน 1,696 ล้านบาท มีทั้งของค่ายเน็ตฟลิกซ์ ยูนิเวอร์แซล และซีรีส์เกาหลี”.