แม้รัฐบาลยังไม่ไฟเขียววันหยุดชดเชยเทศกาลสงกรานต์ จะเป็นช่วงใดระหว่างวันที่ 4-9 ก.ค. หรือช่วงปลายเดือนก.ค. ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ต่อที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ในวันศุกร์ที่ 5 มิ.ย.นี้ ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมครม.อีกครั้งว่าจะอนุมัติหรือไม่ พร้อมกับการเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "แจกเงินเที่ยว" 2 พันบาท หรือ 3 พันบาทต่อคน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ หลังเจอผลกระทบโควิด
ขณะที่ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า รัฐบาลเตรียมอัดแพ็กเกจเที่ยวฟรี 4 ล้านคน แจกเงินให้คนไปเที่ยวในวันหยุด โดยจ่ายชดเชยให้โรงแรมรีสอร์ตแทนผู้ไปเที่ยว ซึ่งมองว่าการทำงานต่างหากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่การท่องเที่ยว เนื่องจากการท่องเที่ยวเหมาะสำหรับคนที่พอมีฐานะระดับหนึ่ง แม้จะไม่ต้องจ่ายค่าที่พักแต่ยังต้องจ่ายค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยประชาชนผู้มีรายได้น้อยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ คงต้องอาศัยการทำงานเลี้ยงชีพมากกว่าการไปเที่ยว และมาตรการนี้เป็นการช่วยนายทุนเจ้าของโรงแรมและผู้มีฐานะ 4 ล้านคน มากกว่าช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ของประเทศ
“คน 4 ล้านคนนี้ คงได้แก่พวกข้าราชการที่ไม่เดือดร้อนอะไรจากโควิด-19 แถมมีเวลาและได้เงินฟรีไปเที่ยว หรือภาคเอกชนที่มีฐานะพอสมควรอยู่แล้ว นี่จึงเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำ มากกว่าการช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ และปกติระบบสถาบันการเงินในประเทศต่างๆ ไม่เหมาะกับการหยุดยาวเกิน 3 วันทำงาน การหยุดยาวเกินความจำเป็น เป็นอันตรายต่อระบบการเงินของประเทศ ที่ผ่านมาเหล่าข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจก็ได้หยุดแบบ work from home ไปมากแล้ว เลิกหยุดสงกรานต์สักปีน่าจะดีกว่า”
นอกจากนี้ มองว่าประเทศชาติผ่านความลำบากมามาก สงกรานต์ได้ผ่านไปแล้ว ปีพิเศษนี้จึงควรทำงาน ซ่อมแซมชาติดีกว่าหยุดชดเชย และในยามลำบากเช่นนี้ ควรเลิกหยุดราชการในวันทำงานได้แล้ว โดยผู้ใดมีจิตศรัทธาจะทำบุญในวันสำคัญใดๆ ควรอนุญาตให้ไปทำแต่เช้าตรู่ แล้วค่อยกลับมาทำงานในวันดังกล่าว และสำหรับราชการที่ทำงานบริการประชาชน ควรให้มาทำงานในวันหยุดราชการ เสาร์อาทิตย์ โดยเกลี่ยคนมาทำงาน ไม่ใช่ให้เบิกค่าล่วงเวลา
พร้อมมีข้อเสนอควรอัดฉีดเงินสู่ภาคเกษตรกรรม หรือเมืองในภูมิภาค เพื่อช่วยประชาชนทั่วไปมากกว่าการช่วยโดยผ่านมือนายทุน และยิ่งกว่านั้นควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนจ้างทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน เพื่อเพิ่มรายได้แก่ประชาชนอีกทางหนึ่ง จึงจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แท้จริง ประเทศชาติจะเจริญได้ และควรเลิกคิดแบบราชการที่มุ่งจะใช้สิทธิหยุด.