ค่ายรถอื่นหักหลังไม่ลงทุนพัฒนา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ได้ให้การต้อนรับนายซูซูมุ มัตสึดะ ประธานบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชียแปซิฟิก จำกัด (มหาชน) พร้อมผู้บริหารบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และบริษัท ฮีโน่ มอเตอร์ เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยหารือถึงความกังวลต่อการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมัน EURO 5 (ยูโร 5) และ ยูโร 6 ของประเทศไทยที่จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2564 เนื่องจาก เห็นว่าอาจมีค่ายรถยนต์บางรายไม่มีความพร้อมหรือไม่ให้ความร่วมมือปรับปรุงเครื่องยนต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานน้ำมันดังกล่าว ซึ่งจะทำให้โตโยต้าเกิดการได้เปรียบเสียเปรียบทางธุรกิจ
ทางโตโยต้ามีความกังวลว่า หากลงทุนปรับปรุงการผลิตเครื่องยนต์ สำหรับรถยนต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานน้ำมันยูโร 5 ซึ่งมีต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 บาทต่อคัน แต่เมื่อถึงปี 2564 ค่ายรถยนต์บางรายไม่ปรับตัวตาม แต่กลับมีการนำรถยนต์ที่ใช้มาตรฐานเครื่องยนต์ยูโร 3 และ 4 ที่จงใจผลิตสต๊อกไว้มาจำหน่ายแบบให้ส่วนลดพิเศษ หรืออาจเรียกว่าตัดราคา ถึงเวลานั้นผู้ผลิตรถยนต์ที่ให้ความร่วมมือลงทุนไปแล้วจะได้รับผลกระทบอย่างมาก
ขณะที่โตโยต้ายังต้องการให้เราเดินหน้าการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่จะเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญๆ และให้สิทธิประโยชน์ในโครงการที่จำเป็นต่อห่วงโซ่การผลิตตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น นายสุริยะและโตโยต้ายังหารือถึงผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าที่ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นที่ลงทุนในจีนขณะนี้ต้องการหาพื้นที่ลงทุนใหม่ๆที่มีเสถียรภาพ
ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ค่ายรถยนต์ได้เตรียมความพร้อมรับมาตรฐานยูโร 5 อยู่แล้วขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมันผลิต น้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 เมื่อไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางค่ายยังไม่พร้อม เพราะการลงทุนปรับปรุงชิ้นส่วนเครื่องยนต์ใหม่ต้องใช้เวลาและใช้เงินลงทุนสูง ทำให้มีความได้เปรียบเสียเปรียบกัน รัฐบาลควรต้องสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ไม่ควรเร่งรัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยควรเริ่มดำเนินการไปพร้อมกัน หรือ 6 เดือนหลังจากมีน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 แล้ว.