นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดค่าตอบแทนระบบแรงจูงใจและสวัสดิการต่างๆของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รายงานว่าได้หารือกับกระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงานแล้วมีความเห็นว่าการจัดสรรสวัสดิการของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมที่มีการพิจารณาเมื่อวันที่ 7 มี.ค.2560 มีความเหมาะสมแล้ว จึงเห็นควรให้ใช้ในการพิจารณาค่าตอบแทนระบบแรงจูงใจและสวัสดิการของผู้บริหาร และพนักงานรัฐวิสาหกิจต่อไปโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงานได้กำหนดหลักการและแนวทางการนำเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาเรื่องสภาพการจ้างงานที่เกี่ยวกับการเงินของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจที่เสนอขอปรับสภาพการจ้างนำเสนอข้อมูลที่จำเป็นและเพียงพอประกอบการพิจารณาความเหมาะสม เช่น โครงสร้างเงินเดือน ค่าใช้จ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้น แผนงานการจัดหารายได้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้น เป็นต้น
สำหรับข้อกำหนดเรื่องสภาพการจ้างงานที่เกี่ยวกับการเงินของรัฐวิสาหกิจได้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
1.กรณีเสนอเรื่องค่าตอบแทนของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ค่าตอบแทนควรมีระดับที่เหมาะสมสอดคล้องกับตลาดแรงงานในสาขาเดียวกัน โดยปรับปรุงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจและความมั่นคงในการดำเนินงาน ตลอดจนฐานะการเงินต่อองค์กรและภาครัฐ และต้องจัดทำแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยวางแผนประมาณการค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในระยะไม่น้อยกว่า 5 ปี เป็นต้น
2.กรณีเสนอเรื่องสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นๆของพนักงานรัฐวิสาหกิจ กำหนดให้คำนึงถึงความเหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นและเหมาะสมของแต่ละตำแหน่ง กรณีเสนอให้มีการปรับปรุงสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นควรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ ความมั่นคงในการดำเนินงาน ตลอดจนฐานะการเงินขององค์กรและผลกระทบที่จะเกิดต่อรัฐ โดยให้มีการเสนอข้อมูลทางการเงินย้อนหลัง ของรัฐวิสาหกิจ.