"สมคิด" ดันเพิ่มรายได้ชาวนา ดึงยักษ์เอกชนวางแผนใช้ตลาดนำการผลิต

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

"สมคิด" ดันเพิ่มรายได้ชาวนา ดึงยักษ์เอกชนวางแผนใช้ตลาดนำการผลิต

Date Time: 20 ก.ย. 2561 10:10 น.

Summary

  • ภายหลังการประชุมแนวทางการหาตลาดรองรับผลผลิตทางการเกษตรตามแนวทางประชารัฐที่กระทรวงพาณิชย์ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง

Latest

เจ้าหนี้การบินไทยขอเลื่อนโหวตแผนฟื้นฟู

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมแนวทางการหาตลาดรองรับผลผลิตทางการเกษตรตามแนวทางประชารัฐที่กระทรวงพาณิชย์ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาแล้วหลายรูปแบบ และกำลังจะเริ่มโครงการส่งเสริมการปลูกพืชหมุนเวียน ซึ่งเป็นความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐภาคเกษตรที่ผนึกกำลังทำงานระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และภาคเอกชน ในการดูแลตั้งแต่การผลิตที่ต้องผลิตตามความต้องการของตลาดทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ รวมถึงการทำตลาด

“รัฐบาลจะนำร่องที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นโครงการแรก ซึ่งกระทรวงเกษตรฯจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า พิจารณาให้สิ่งจูงใจเกษตรกรที่จะหันมาปลูกข้าวโพดหลังจากทำนา เพื่อสนับสนุนให้ไปปลูกพืชอื่นนอกเหนือจากข้าว เพราะการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเกษตรกรยิ่งจน จากนั้นจะขยายไปยังผักและผลไม้ ซึ่งจะทำงานในรูปแบบเดียวกันคือ วางแผนการเพาะปลูก และการทำตลาดร่วมกัน”

ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขอความร่วมมือภาคเอกชนซึ่งเป็นหมายเลขหนึ่งในแต่ละอุตสาหกรรมและยังเป็นรายใหญ่ของประเทศให้มาช่วยในด้านการตลาด โดยได้รับการตอบรับจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี), บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊ว จำกัด (มหาชน), บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน), บริษัทสยามแมคโคร จำกัด (มหาชน), กลุ่มเซ็นทรัล, เบทาโกร, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (มหาชน) ซึ่งทุกรายพร้อมช่วยเหลือ เพื่อยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกร

“ที่ผ่านมา กระทรวงฯได้เชื่อมโยงให้บริษัทรายใหญ่มาช่วยรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรอยู่แล้ว วันนี้เป็นการมาทำให้เป็นรูปธรรม เพราะต้องพูดคุยให้ชัดว่าใครต้องการอะไร ซึ่งจะเป็นการวางแผนต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เฉพาะปีนี้ แต่ทำสำหรับปีต่อไปด้วย อย่างเซเว่น-อีเลฟเว่น บอกว่าต้องการกล้วยหอมเท่าไร สเปกแบบไหน บางเจ้าต้องการลำไย ก็บอกสเปกมา หรือกลุ่มเซ็นทรัลอยากได้พืชผักผลไม้แบบไหน ก็บอกมา เกษตรก็ต้องไปส่งเสริมให้ผลิตตามที่ต้องการ พาณิชย์ก็ช่วยเชื่อมโยงตลาด เป็นการทำงานล่วงหน้าเพื่อยกระดับราคาและรายได้ให้เกษตรกร”

ขณะที่นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯจะหาตลาดก่อน แล้วจึงมาแนะนำส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ปริมาณผลผลิตและคุณภาพตามที่ต้องการ เพื่อช่วยเพิ่มรายได้หลังจากการทำนา ซึ่งจะเริ่มที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก่อน เพราะขณะนี้ผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอมีความต้องการใช้ถึง 8 ล้านตัน แต่ปลูกได้ 4 ล้านตัน ส่วนข้าวปลูกได้ 33 ล้านตันข้าวเปลือก เพียงพอต่อการบริโภคและส่งออก ถ้าปลูกมากกว่านี้ ก็อาจจะมีปัญหาด้านราคา จึงผลักดันให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังทำนา ซึ่งได้หารือกับภาคเอกชนให้ช่วยรับซื้อในราคาเหมาะสมไว้แล้ว จะทำให้เกษตรกรมีกำไรต่อไร่ 4,000 บาท ขณะที่ปลูกข้าวจะเหลือกำไรเพียง 400 บาทเท่านั้น

“ได้ทำมาตรการจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยได้เชื่อมโยงตลาด สร้างความมั่นใจด้านราคาที่จะขายได้ในราคาที่เหมาะสม เพราะได้คุยกับผู้ผลิตอาหารสัตว์ให้ช่วยรับซื้อแล้ว พร้อมประสานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไร่ละ 2,000 บาท ดอกเบี้ย 0.01% และยังช่วยประกันภัยพืชผลให้อีกไร่ละ 40-50 บาท ซึ่งจะเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า ของบประมาณชดเชยดอกเบี้ยและชดเชยประกันภัยพืชผล 641 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรใน 33 จังหวัด พื้นที่เพาะปลูก 2 ล้านไร่ จากนั้นจะขยายไปยังพืชไร่ ผัก และผลไม้อื่นๆ ทั้งลำไย ลองกอง รวมถึงสับปะรดโรงงาน”

นอกจากนี้ นายสมคิด ยังมอบนหมายให้กระทรวงพาณิชย์เตรียมการดูแลการส่งออกสินค้าไทย หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยืดเยื้อและรุนแรงมากขึ้น โดยนอกจากการส่งออกสินค้าแล้ว กระทรวงพาณิชย์ต้องเน้นเรื่องธุรกิจบริการให้มากขึ้น เพราะเป็นภาคที่ใหญ่และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย รวมถึงจะต้องเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าและธุรกิจบริการ.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ