ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USITC) ได้ประกาศผลการพิจารณาความเสียหายเบื้องต้น ภายหลังไต่สวนความเสียหายจากการนำเข้าถังแก๊สโพรเพนจากไทย จีน และไต้หวัน ในข้อหาทุ่มตลาดและการอุดหนุนจากภาครัฐ (เอดี/ซีวีดี) ซึ่งจากการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า มีข้อมูลบ่งชี้ที่สมเหตุสมผล เชื่อได้ว่าอุตสาหกรรมผลิตถังแก๊สโพรเพนของสหรัฐฯได้รับความเสียหายจากถังแก๊สโพรเพนที่นำเข้าจากไทยและจีน เพราะจำหน่ายในราคาต่ำกว่าราคาขายใน ประเทศผู้ผลิต
นอกจากนี้ ยังพบว่าถังแก๊สที่นำเข้าได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศผู้ส่งออก จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ดำเนินการไต่สวนสินค้านำเข้าจากไทยและจีนต่อไป แต่ได้ถอนไต้หวันออกจากการไต่สวน โดย USITC จะแจ้งผลการไต่สวนอีกครั้งภายในวันที่ 29 ต.ค.นี้
ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (DOC) ได้ประกาศเปิดการไต่สวนถังแก๊สโพรเพนที่นำเข้าจากไทยในข้อหาเอดี/ซีวีดีเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 9 ก.ค.2561 ได้ประกาศผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ตอบแบบสอบถามเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาไต่สวน คือ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) และจะประกาศผลการไต่สวนให้ทราบต่อไป
สำหรับกรณีที่สหรัฐฯเปิดไต่สวนถังแก๊สโพรเพนที่นำเข้าจากไทยและประเทศอื่นๆ เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัท Worthington Industries ในรัฐโอไฮโอ และบริษัท Manchester Tank & Equipment ในรัฐเทนเนสซี ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าถังแก๊สในสหรัฐฯ ได้ยื่นคำขอต่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ เพื่อขอให้เปิดการไต่สวนการทุ่มตลาดถังแก๊สจากไทย จีน และไต้หวัน ในส่วนของไทยมีผู้ผลิตถังแก๊ส 4 ราย คือ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) บริษัท ชื่นศิริ จำกัด บริษัท เมทเทิล เมท จำกัด และบริษัท สยามอินเตอร์แม็กเนท จำกัด แต่มีเพียงบริษัทสหมิตรถังแก๊สที่ส่งออกไปสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ถังแก๊สโพรเพนที่ถูกฟ้องเป็นถังเหล็ก ที่มีปริมาตรบรรจุ 2.5 ปอนด์ 40 ปอนด์ หรือ 1.1 กิโลกรัม-18.2 กิโลกรัม และเป็นชนิดที่ได้มาตรฐาน 4BA และ 4BW ของกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ โดยเป็นผลิตภัณฑ์เหล็กนอกบัญชี ที่สหรัฐฯประกาศเรียกเก็บภาษี 25% หากถังแก๊สโพรเพนจากไทยต้องเสียภาษีเอดี จะเป็นผลเสียต่อการขยายตลาด เพราะจะนำเข้าจากไทยลดลง โดยผู้นำเข้าสหรัฐฯจะหันไปนำเข้าจากคู่แข่งอื่นที่ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีเอดี เช่น ไต้หวันและมาเลเซียแทน
ทั้งนี้ ในปี 2560 สหรัฐฯนำเข้าถังแก๊สโพรเพนมูลค่า 257.50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 9.54% โดยมีจีนเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญที่สุดมูลค่า 89.14 ล้านเหรียญฯ มีส่วนแบ่งตลาด 34.72% และไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 5 มูลค่า 14.13 ล้านเหรียญฯ มีส่วนแบ่งตลาด 5.58%.