สภาพัฒน์ เผยอัตราขยายตัวเศรษฐกิจไทย ไตรมาส 3 โต 4.3% สูงสุดในรอบ 18 ไตรมาส พร้อมปรับคาดการณ์ทั้งปีแตะ 4% ชี้ยังไม่ใช่เรื่องด่วนปรับขึ้นดอกเบี้ย ต้องติดตามสถานการณ์อีกระยะหนึ่งในปีหน้า...
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ไตรมาส 3/60 ขยายตัว 4.3% สูงสุดในรอบ 18 ไตรมาส และถือว่าขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากการส่งออกสินค้า และการขยายตัวต่อเนื่องของการบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐบาล และการลงทุนรวม ส่วนในด้านการผลิต มาจากแรงหนุนการผลิตสาขาอุตสาหกรรม ค้าส่ง-ค้าปลีก สาขาไฟฟ้า ก๊าซ โรงแรม ภัตตาคาร สาขาขนส่ง และคมนาคม ในขณะที่สาขาก่อสร้างปรับตัวลดลง ส่งผลให้โดยรวมแล้วในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.60) เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3.8%
ส่วนด้านการเงินนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัว แม้ทิศทางของนโยบายการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลักจะมีทิศทางตึงตัวขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจยังทรงตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับตัวลดลงตามการเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.4% เร่งขึ้นจาก 0.1% ในไตรมาสที่ 2/60 ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาในหมวดที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่ม ในขณะที่ดัชนีราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ปรับตัวลดลง
"ทิศทางดอกเบี้ยโลกเริ่มเป็นขาขึ้น แต่ไทยยังจะต้องติดตามสถานการณ์ไปอีกระยะหนึ่งก่อน โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจและเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆ โดยนโยบายการเงินควรจะต้องรักษาศักยภาพเศรษฐกิจและเสถียรภาพเศรษฐกิจควบคู่กันไป แม้ว่าปีนี้สภาพัฒน์คาดว่าเศรษกิจไทยจะเติบโตสูงขึ้นมาแตะ 4% ได้ แต่นโยบายการเงินการคลัง ควรจะต้องพยายามรักษาการสนับสนุนการเติบโตให้มีความแน่ใจก่อน เพราะเป็นปีแรกที่กลับมาเติบโตในระดับ 4% จากที่เติบโตในระดับต่ำ"
นอกจากนี้ก่อนจะปรับขึ้นดอกเบี้ยควรจะต้องติดตามปัจจัยสำคัญต่างๆ ได้แก่ ภาวะการจ้างงาน อัตราเงินเฟ้อที่น่าจะเข้าสู่กรอบเป้าหมายก่อน รวมถึงความพร้อมเศรษฐกิจภายในประเทศ ดังนั้นคงต้องใช้เวลาอีกระยะและดูความเหมาะสมของเศรษฐกิจในปีหน้าก่อน จึงมองว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วนัก
ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามทิศทางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และปัจจัยสนับสนุนจากเงินทุนไหลเข้าจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินลงทุนในตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลก และการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน
อย่างไรก็ดี ได้ปรับคาดการณ์ GDP ของไทยทั้งปี 60 เป็นขยายตัว 3.9% จากเดิมที่คาดไว้ในช่วง 3.5-4.0% หรือค่ากลางที่ 3.7% และคาดการณ์ GDP ในปี 61 จะเติบโตในช่วง 3.6-4.6% ทั้งนี้ ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตได้ในระดับสูง เช่นเดียวกับไตรมาส 3 ทำให้สภาพัฒน์ปรับประมาณการณ์ GDP ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3.9% จากเดิมที่ 3.7% (กรอบ 3.5-4.0%) และคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ 8.6% การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 3.2% และการลงทุนรวมขยายตัว 2.0% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 0.7% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 46.5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 10.4% ต่อ GDP.