"พิชัย" ถก 5 หน่วยงาน "สศค.-สศช.-ธปท.-สำนักงบฯ-ก.พ.ร." วางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสั้น-กลาง-ยาว ดันจีดีพีไทยแตะ 3.5% เตรียมนำเสนอแพ็กเกจชุดใหญ่ให้ “นายกฯอิ๊งค์” พิจารณาในเดือน มี.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ.68 นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้เรียกประชุมหน่วยงานสำคัญ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เพื่อหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
นายพิชัยกล่าวภายหลังการประชุมว่า การเรียกประชุมครั้งนี้ เป็นครั้งแรกเพื่อจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้แตะ 3.5% โดยได้สั่งการบ้านให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการจัดทำแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยการกระตุ้นระยะสั้น คือการเร่งแก้หนี้ครัวเรือน เพราะแก้หนี้ได้เร็ว สามารถกระตุ้นการบริโภคได้เร็วเช่นกัน ซึ่งจะมีการปรับเงื่อนไขการแก้หนี้ให้สอดคล้องกับความจริงของลูกหนี้ให้มากที่สุด รวมถึงปรับเงื่อนไขหนี้รหัส 21 ซึ่งเป็นหนี้ช่วงโควิด ที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือด้วยเช่นกัน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งพิจารณารายละเอียด คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้
ส่วนระยะกลางและระยะยาวจะต้องแก้ปัญหาโครงสร้างเกษตรกรรมของประเทศ ที่ต้องร่วมมือกันหลายฝ่ายโดยจะเจาะจงเป็นรายการสินค้าที่ส่งออกเป็นอันดับแรก ด้วยการจะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ ตั้งแต่การปลูกอย่างมีคุณภาพ ผลผลิตต่อไร่ วางแผนการผลิตให้ตรงความต้องการของตลาด เพื่อแก้ไขปัญหาให้ภาคเกษตรกรรมของไทยแข็งแรง
“ผมจะทำเป็นเรื่องๆ เพื่อให้แก้ปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เหมือนการแก้หนี้ แต่ต้องปรับทั้งโครงสร้าง เช่น การกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ก็ต้องสร้างความสมดุลระหว่างรถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้าด้วย ส่วนภาคเกษตรก็ต้องไปดูตั้งแต่เรื่องระบบน้ำ ปุ๋ย เป็นต้น แม้บางเรื่องจะต้องใช้เวลา แต่ต้องเร่งทำตั้งแต่วันนี้ และครั้งนี้ผมดึง ก.พ.ร.มาประชุมด้วย เพื่อวัดผลการทำงาน หรือตั้งเป็น KPI ของหน่วยงานราชการว่าร่วมกันขับเคลื่อนมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณ แม้ว่ากรมบัญชีกลางจะเร่งรัดการเบิกจ่ายแล้ว แต่จะมี ก.พ.ร.เข้ามาช่วยอีกขั้นตอน โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่นี้ เมื่อทำสำเร็จแล้วจะนำรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบภายในเดือน มี.ค.นี้”
นายพิชัยกล่าวว่า ได้มอบโจทย์ให้ ธปท.ไปพิจารณา 2 ประเด็น คือ 1.ประเมินผลการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในครั้งที่ผ่านมา และการติดตามนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีนโยบายที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอีก และ 2.การดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ
“ธปท.มี 2 หน้าที่หลักนี้ ก็ต้องไปทำ เมื่อประเมินว่าลดดอกเบี้ยดีต่อระบบเศรษฐกิจ ก็ต้องทำ ค่าเงินบาท เมื่ออ่อนค่า ดีต่อการส่งออก ก็ต้องไปดูแล แล้วนำผลการประเมินมาหารือในการประชุมครั้งต่อไปด้วย”
นายพิชัยกล่าวต่อว่า สำหรับการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนนั้น จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษ เพื่อพิจารณารายละเอียดบริษัทในตลาดทุน ด้วยการใช้มาตรการภาษีฟื้นประสิทธิภาพ เช่น การทำข้อตกลงกับบริษัทในตลาดทุน หากมีกำไรตามที่ตกลงกันไว้ ให้เสียภาษีตามปกติ 20% แต่หากมีกำไรเกินกว่าที่ตกลง เสียภาษีส่วนเกิน 10% เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อหามาตรการมาสู้ เพื่อให้ตลาดทุนกลับมาคึกคัก และต้องยอมรับว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนต่อหุ้น ROE ต่ำจริง
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า ต้องทำให้ส่งออกปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 3.5-4% หรือไม่น้อยกว่า 26,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นโจทย์ให้กระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณา เพิ่มตลาดส่งออกได้อย่างไร ด้านการท่องเที่ยวจะต้องมีนักท่องเที่ยวสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 38 ล้านคน มีรายได้ 1.65 ล้านล้านบาท และที่สำคัญต้องทำรายได้ต่อหัวให้ได้ 42,000 บาทต่อคน เป็นการบ้านของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขณะเดียวกันจะต้องกำหนดเป้าหมายการลงทุนจากผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนปีที่ผ่านมา กว่า 800,000 ล้านบาท ต้องลงทุนจริงในปีนี้ 40-50% ของยอดการลงทุน
นอกจากนี้ จะต้องกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณ จะต้องไม่น้อยกว่า 85-90% เพราะการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี หรือไตรมาสแรกของปีงบประมาณนั้น การเบิกจ่ายจะน้อยลง ดังนั้น ต้องปรับเกณฑ์การเบิกจ่ายใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่