นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2567 ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะปัจจัยภายในที่ประเทศไทย ยังคงมีปัญหาภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทำให้กำลังซื้อของประชาชนอ่อนแอ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐจากงบประมาณปี 2567 จะล่าช้าออกไปเป็นเดือน เม.ย. หรือ พ.ค. จึงส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยยังคงมีความเปราะบาง ดังนั้น จำเป็นที่รัฐบาลต้องหามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อประชาชน เพื่อประคองเศรษฐกิจระหว่างนี้เพิ่มเติม
“ผมคิดว่าการที่รัฐจะมีมาตรการ “e-Refund” ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.ปีหน้า เป็นเรื่องที่ดีแต่แค่สั้นๆ ยังเห็นว่าจำเป็นต้องมีอื่นๆ เพิ่มเติมให้ต่อเนื่องอีกเพราะต้องยอมรับว่ากำลังซื้อของคนไทยอ่อนแอมากเพราะมีหนี้ครัวเรือนที่เป็นทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ ที่รัฐบาลยังต้องใช้เวลาในการปรับโครงสร้างอยู่พอสมควร”
นอกจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ยังมีปัจจัยของค่าครองชีพต่างๆที่คนไทยยังมีแนวโน้มต้องรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า น้ำมัน ทั้งกลุ่มดีเซลและเบนซิน รวมถึงก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ที่รัฐบาลได้ออกมาตรการดูแล ที่จะทยอยสิ้นสุดมาตรการในสิ้นปีนี้ เช่น การตรึงราคาน้ำมันดีเซล แอลพีจี ท่ามกลางภาระหนี้ของกองทุนน้ำมันหลายหมื่นล้านบาท ทำให้ภาพรวมพลังงานของไทยปีหน้า ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นและหากตลาดโลก
ขยับแรง จะทำให้ยิ่งกดดันเพิ่มขึ้น จึงนับเป็นความเปราะบางที่รัฐบาลต้อง มองในเรื่องแผนรับมือผ่านการปรับโครงสร้างต่างๆที่เน้นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวเอาไว้ล่วงหน้าอย่างเร่งด่วน
“ส.อ.ท.เห็นว่ารัฐบาลจะต้องเร่งจัดตั้งคณะกรรมการร่วมรัฐและเอกชน (กรอ.) พลังงาน เพื่อร่วมกันเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่สูง จะกระทบต่อขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ”
สำหรับคำถามที่ว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะฟื้นตัวมากน้อยเพียงใดในปีหน้า ตนมองว่า ภาคท่องเที่ยวเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย และการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปโรดโชว์ประเทศต่างๆ หากปล่อยให้ค่าไฟฟ้ามีราคาสูงเกินไป จะกลายเป็นปัจจัยลบต่อการดึงดูดการลงทุนเช่นกัน ขณะที่ภาคการส่งออกจะสะท้อนตามเศรษฐกิจโลกที่ทุกฝ่ายคาดหวังว่าจะทยอยฟื้นตัวจากปีนี้.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่