เรียกเสียงฮือฮาขั้นสูงสุดในแวดวงธุรกิจท่องเที่ยว เมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้ประกาศกลางกรุงปักกิ่งในความพยายามของประเทศไทยที่จะพิจารณายกเว้นการขอวีซ่าแบบถาวรให้กับประชาชนชาวจีน
ในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ของนายกรัฐมนตรีของไทยและคณะ เพื่อร่วมการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation:BRF) พร้อมกับพบปะผู้นำฝ่ายรัฐบาลและภาคเอกชนของจีนเพื่อประกาศย้ำว่าประเทศไทยเปิดแล้วสำหรับการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เนื้อหาสาระส่วนหนึ่งในระหว่างที่นายกรัฐมนตรีของไทยได้เข้าพบเพื่อหารือทวิภาคีกับ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้หารือถึงความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ว่า การท่องเที่ยวสามารถเป็นนโยบายที่จะสามารถดำเนินการและเกิดผลประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว (Quick win) ไทยจึงออกนโยบาย Visa Free ชั่วคราวสำหรับชาวจีน ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.2566-29 ก.พ.2567 จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการไปมาหาสู่ของประชาชนทั้งสองประเทศได้มากขึ้น
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจที่มีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์กราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าในไทย ยืนยันว่ารัฐบาลได้ดำเนินการเยียวยาผู้เสียหายอย่างเต็มที่ และการดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำผิด และให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งเสนอให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงเรื่องการยกเว้นตรวจลงตราระหว่างกัน
ขณะที่การเข้าพบ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐ ประชาชนจีน นายเศรษฐา กล่าวถึงตรวจลงตราที่ยกเว้นให้นักท่องเที่ยวจีน และขอให้ฝ่ายจีนพิจารณายกเว้นให้ชาวไทยเช่นกัน
เฟกนิวส์โจมตีไทยระบาดในจีน
นักท่องเที่ยวชาวจีนถือว่ามีความสำคัญกับประเทศไทยอย่างมาก เพราะจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากนับพันล้านคน ขณะที่ชาวจีนมองไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยม เห็นได้จากปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยสูงถึง 10.99 ล้านคน สร้างรายได้ 543,000 ล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เดินทางเข้าไทยในปีนั้น 39.7 ล้านคน สร้างรายได้รวม 1.9 ล้านล้านบาท
แต่สภาพการณ์หลังเกิดวิกฤติโควิด-19 ความมั่นใจถึงความปลอดภัยในการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยเปลี่ยนไป เมื่อมีการส่งต่อเฟกนิวส์เป็นคลิปผ่านแอปพลิเคชันยอดนิยม “โต่วอิน” ซึ่งเป็น Tik Tok จีน ว่าการมาประเทศไทยจะถูกลักพาตัว เจอหลอกลวงมากมาย ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรุนแรงถึงขนาดถูกจับตัวไปขายอวัยวะ ขายไต
เมื่อคนจีนไม่ได้มาไทยหลายปี เมื่อรับฟังเฟกนิวส์ที่มากทวีคูณยิ่งขึ้น กลายเป็นความเชื่อฝังใจว่าเป็นเรื่องจริงและเปลี่ยนจุดหมายเดินทางไปเที่ยวมาเลเซียและสิงคโปร์แทน ยกเว้นสำหรับชาวจีนที่เดินทางมาไทยแล้วจึงรับรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง
ททท.จับมือ 8 บริษัทจีนแก้เกม
ส่วนหนึ่งของการแก้เกมเรื่องนี้ ในวันที่ 19 ต.ค.2566 ช่วงระหว่างที่นายกรัฐมนตรีของไทยไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดพิธีร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับ 8 พันธมิตรบริษัทชั้นนำของจีน ณ โรงแรม Kerry กรุงปักกิ่ง โดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยาน
เป็นการลงนามระหว่าง น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กับผู้บริหารระดับสูงของ 8 บริษัทชั้นนำ ได้แก่ 1.หัวเว่ย เทคโนโลยี โดยร่วมมือกับพันธมิตรของหัวเว่ยทั้งในไทยและจีน ในการแนะนำบริการและมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพรูปแบบใหม่ในกลุ่มผู้ใช้งานและนักท่องเที่ยวในประเทศจีน 2.อ้ายฉีอี้ (iQIYI) แพลตฟอร์มวิดีโอเอนเตอร์เทนเมนต์ออนไลน์ อันดับ 1 ของจีน จะนำเสนอคอนเทนต์ซอฟต์เพาเวอร์ของไทย 3.ชีน่า คอร์ปอเรชั่น บริษัทสื่อออนไลน์และเทคโนโลยี มีผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านแอคเคาต์ทั่วโลกและเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม weibo หนึ่งในโซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีน
4. Trip.com ผู้ให้บริการจองการท่องเที่ยวออนไลน์ที่มีสัดส่วนตลาดมากที่สุดในจีนและทั่วโลก 5.เหม่ยถวน (Meituan.com) แอปพลิเคชันรีวิว มีความโดดเด่นด้านคูปองส่วนลดยอดนิยมของจีน 6.เจโก้ ทริป (Jego Trip) แพลตฟอร์มทางการท่องเที่ยว เน้นกลุ่มลูกค้าระดับบนและการท่องเที่ยวแบบเอกซ์คลูซีฟ 7.สปริง แอร์ไลน์ สายการบินสัญชาติจีนที่มีเส้นทางบินไปประเทศไทยมากที่สุด 8.Ant International (Alipay) ผู้ให้บริการออนไลน์แบงก์กิ้งบริษัทลูกของอาลิบาบา มีผู้ใช้มากกว่า 600 ล้านคนในจีน ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่ายในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวสะดวกยิ่งขึ้น
ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ในเมื่อโลกออนไลน์ของจีนมีข่าวลบเกี่ยวกับประเทศไทยมาก และเราไม่สามารถไปลบออกได้ นอกเสียจากคนลงคลิปเป็นคนลบออกเอง ททท.จึงต้องเติมเรื่องราวดีๆของประเทศไทย เสมือนเติมน้ำดี น้ำสะอาดลงไป ข่าวลบของประเทศไทยจะได้หมดไปจากโลกออนไลน์ของจีน
“อ้ายฉีอี้” ใช้โลเกชันไทยถ่ายซีรีส์
นายหยาง เซียงหัว (Yang Xianghua) ประธานกลุ่มธุรกิจภาพยนตร์และต่างประเทศของอ้ายฉี่อี้ เปิดเผยว่า ในฐานะแพลตฟอร์มสตรีมมิงและการผลิตเนื้อหาต้นฉบับที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ถ้าเทียบกับที่คนไทยรู้จักก็เหมือน Netfilx โดยมีผู้ใช้งาน 900 ล้านรายต่อเดือนในจีน บริษัทกระตือรือร้นที่จะใช้ภาพยนตร์เพื่อช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ โดยจะผลิตละครภาษาไทยเพิ่มเติมเพื่อออกอากาศบนแพลตฟอร์มของอ้ายฉี่อี้ ซึ่งเปิดใน 191 ประเทศ โดยมีผู้ใช้งาน 30 ล้านรายต่อเดือน
“ตอนนี้เรามีซีรีส์ออริจินัลที่ถ่ายทำในประเทศไทย 2 ซีรีส์ และวางแผนที่จะเพิ่มซีรีส์ออริจินัลเป็น 10 ซีรีส์ต่อปี อีกทั้งนำศิลปินไทยที่มีพรสวรรค์มาร่วมแสดงในซีรีส์จีนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีในการเชื่อมโยงสองประเทศเข้ากัน ชาวจีนที่ดูซีรีส์เหล่านี้จะเกิดความรู้สึกอยากไปเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น”
ขณะที่ นายอี้ โจว (Yi Zhou) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Ant International กล่าวว่า ในฐานะผลิตภัณฑ์การชำระเงินของบริษัท Alipay plus มีส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุดในจีน และยังมีพันธมิตรอี-วอลเล็ต 20 รายในเอเชีย จะใช้การมีส่วนร่วมของผู้ใช้เพื่อช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย เช่นผู้ที่มองหาประสบการณ์การช็อปปิ้ง
ปรากฏการณ์หาที่เที่ยวไทยเพิ่ม 800%
น.ส.อแมนดา หวาง (Amada Wang) รองประธานฝ่าย Global Destination บริษัท ทริป ดอท คอม กรุ๊ป กล่าวว่า ประเทศไทยดึงดูดใจนักเดินทางจากจีนแผ่นดินใหญ่มาโดยตลอด และเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ไปไม่ได้ ด้วยการเดินทางเข้าประเทศ ไทย โดยไม่ต้องขอวีซ่าเมื่อเร็วๆนี้ คาดว่าแนวโน้มการเดินทางมายังประเทศไทยจะดำเนินต่อไป และหวังว่าจะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ ททท. เพื่อนำนักท่องเที่ยวมายังดินแดนแห่งรอยยิ้มมากขึ้น
สำหรับ LOI ที่ลงนามระหว่างทั้งสองฝ่ายจะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งในการยกระดับความร่วมมือที่มีอยู่ และใช้ความเชี่ยวชาญและข้อมูลเชิงลึกของ Trip.com Group เกี่ยวกับนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยจะนำมาซึ่งการแบ่งปันข้อมูล กิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกัน ตลอดจนการสร้างช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางการสำหรับการอัปเดตการท่องเที่ยว
“ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงวันหยุดโกลเด้น วีก หรือวันชาติจีน ที่ผ่านมา มีปริมาณการเดินทางออกสู่ประเทศไทยมากกว่า 11 เท่าของปี 2565 ในช่วงเวลาเดียวกัน เมื่อเทียบกับวันหยุดเดือน พ.ค.ปีนี้ ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 27.6% หลังจากการประกาศให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าเมื่อเดือนที่แล้ว การค้นหาจุดหมายปลายทางในไทยผ่านแพลตฟอร์มของ Trip.com Group ก็เพิ่มขึ้นถึง 800%”
สทท.อยากให้เร่งฟื้นกรุ๊ปทัวร์
สำหรับความเห็นของภาคเอกชนท่องเที่ยวไทย 2 ราย ที่ร่วมเดินทางไปร่วมในพิธีครั้งนี้
นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศจะพิจารณายกเว้นวีซ่าถาวรให้ชาวจีนถือเป็นเรื่องที่ดีมาก และควรมีการประเมินหลังจากมาตรการยกเว้นวีซ่าชั่วคราว (วีซ่าฟรี) 5 เดือน ตั้งแต่ 25 ก.ย.66-29 ก.พ.67 เสร็จสิ้นก่อนว่าได้ผลเพียงใดและหากไม่มีปัญหาเรื่องความมั่นคง การเปิดวีซ่าเป็นการถาวรให้นักท่องเที่ยวจีนถือเป็นการดีมาก
แต่ปัญหาคอขวดขณะนี้คือเรื่องเที่ยวบินระหว่างจีนและไทยยังน้อยอยู่ ดังนั้น ยกเว้นวีซ่าชั่วคราวจึงยังไม่เห็นนักท่องเที่ยวจีนทะลักมาในทีเดียว แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อการเดินทางเข้าไทยมากขึ้น และเป็นโอกาสให้บริษัททัวร์จีนเลือกทำตลาดในไทยมากขึ้น เพราะบริษัททัวร์ของจีนก็ชอบการทำทัวร์ไปประเทศที่เดินทางเข้าง่าย และเมื่อบริษัททัวร์เริ่มทำตลาดเที่ยวบินก็จะเติมเข้ามา ส่วนเรื่องที่รัฐบาลเตรียมขอให้ฝ่ายจีนยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทยด้วยนั้น หากได้ก็จะเสมอภาคทั้งสองฝ่าย สะท้อนให้เห็นว่าไทยไม่ได้ต้องการนักท่องเที่ยวจากจีนอย่างเดียว เพราะช่วงที่ผ่านมาไทยก็เข้าจีนเยอะเช่นกัน หากยกเว้นวีซ่าทั้งสองฝ่ายก็เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน
“การรีสตาร์ตตลาดนักท่องเที่ยวจีนให้ได้ผล ที่ ททท.เริ่มต้นกับโลกออนไลน์ถูกต้องแล้ว แต่ต้องเร่งฟื้นตลาดนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านกรุ๊ปทัวร์ด้วย เพราะในระหว่างที่สถานที่ท่องเที่ยวของไทยยังไม่ฟื้นจากโควิด-19 เหมือนเดิม การเที่ยวกับบริษัททัวร์จะมีไกด์ดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัย และการนำไปเที่ยวสถานที่ที่มีความพร้อมแล้ว นักท่องเที่ยวจะได้เห็นแต่สิ่งดีๆ และมีความประทับใจ ขณะเดียวกันต้องสร้างความมั่นใจด้วยว่า บริษัททัวร์ของไทยมีคุณภาพ จะไม่เกิดปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญเหมือนในอดีต อยากให้ ททท.ประกาศไปเลย 100 รายชื่อบริษัททัวร์ที่เที่ยวไทยแล้วไม่ถูกหลอก มีความปลอดภัย ที่รัฐบาลไทยให้การรับประกัน ถ้าทำอย่างนี้จะสร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น”
แอตต้าเตรียมจัดโรดโชว์ในจีน
นายศิษฏิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า กรณีที่รัฐบาลจะพิจารณายกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีนเป็นการถาวรเป็นเรื่องที่ดี แต่มีเรื่องที่ต้องแก้เร่งด่วนในขณะนี้คือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อภาคการท่องเที่ยวไทย ต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมาให้ได้ก่อน โดยแก้ไขข่าวภาพเชิงลบที่คนจีนรับรู้มาจากโลกออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ต้องเร่งสื่อสารออกไปว่าประเทศไทยปลอดภัย หลังจากนั้นค่อยทำมาตรการต่อไป ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะเหมือนในอดีตหรือมากกว่านั้นก็ได้
“เมื่อกลับถึงประเทศไทย แอตต้าจะเตรียมจัดประชุมเพื่อจัดโรดโชว์ครั้งใหญ่ นำบริษัททัวร์ของไทย 50 รายมาพบปะกับบริษัททัวร์ของจีน ที่มองไว้คือ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเฉินตู ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ เพราะหลังจากไม่มีการเดินทางไปไทยหลายปี บริษัททัวร์ของจีนเองก็ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยในการพาลูกทัวร์ไปเที่ยวประเทศไทย ผมเองก็บอกกับสื่อจีนและบริษัททัวร์ขอให้มั่นใจเพราะตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยแล้วถึง 21 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยปลอดภัย และไทยจีนไม่ใช่อื่นไกล เป็นเพื่อนบ้านและพี่น้องกัน ถึงจะเป็นน้องเล็กก็เถอะ”.
ทีมเศรษฐกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปเศรษฐกิจ" เพิ่มเติม