นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ กรมและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้เดินทางไปเยือนจีนและฮ่องกง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และขยายตลาดข้าว และมันสำปะหลังของไทย เพราะฮ่องกงเป็นแหล่งนำเข้าข้าวที่สำคัญของไทย ส่วนจีนเป็นแหล่งนำเข้าข้าวและมันสำปะหลังที่สำคัญ แต่ในช่วง 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.) ปี 66 ทั้ง 2 ประเทศนำเข้าข้าวจากไทยลดลงมาก โดยฮ่องกงนำเข้าเพียง 50,107 ตัน ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปี 65 เพราะผู้บริโภครุ่นใหม่ใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น และลดการบริโภคแป้ง นอกจากนี้ ยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง และเพิ่งฟื้นจากโควิด-19 ขณะที่จีนนำเข้าเพียง 130,000 ตัน ลดลงมากถึง 46% จากปกติจีนนำเข้าจากไทย 600,000-700,000 ตันต่อปี เพราะผู้บริโภครุ่นใหม่ลดการบริโภคแป้ง และหันมาใช้นโยบายพึ่งพาตนเองมากขึ้น
“แต่จากการหารือกับผู้นำเข้าฮ่องกง ยังมั่นใจว่า ไทยจะครองส่วนแบ่งตลาดข้าวในฮ่องกงได้ต่อไป เพราะผู้นำเข้ายืนยันที่จะนำเข้าข้าวไทยต่อเนื่อง ส่วนจีนก็ยังมั่นใจว่า การส่งออกข้าวไทยไปจีนทั้งปี จะยังคงมีโอกาสเพิ่มขึ้น เพราะกรมจะร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ที่จีน รวมถึงฮ่องกง จัดการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ข้าวไทย สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ และมาตรฐานข้าวของไทย เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเพิ่มการบริโภค”
สำหรับการส่งออกข้าวไทยช่วง 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) ปี 66 ส่งออกได้แล้ว 3.47 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.74 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 26.64% จากช่วงเดียวกันของปี 65 ที่ส่งออกได้ 2.74 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 64,322 ล้านบาท หรือ 1,896 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 65 ที่มีมูลค่า 47,785 ล้านบาท หรือ 1,452 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 34.61% และ 30.58% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 66 มั่นใจว่า ไทยจะส่งออกข้าวไปทั่วโลกได้เกิน 8 ล้านตัน เพราะความต้องการข้าวจากทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น เพื่อเก็บสต๊อกไว้เพื่อความมั่นคงทางอาหาร และรับมือภัยแล้ง เช่น อินโดนีเซีย ที่แจ้งว่าต้องการซื้อข้าวไทยแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพราะล่าสุด สต๊อกข้าวในประเทศลดลง ค่าเงินบาทอ่อนค่าจากปีก่อน ทำให้ราคาข้าวไทยแข่งขันได้ อีกทั้งเวียดนาม คู่แข่งสำคัญเหลือผลผลิตที่จะส่งออกน้อยลง เพราะเร่งส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ไปแล้ว รวมถึงกรมและผู้ส่งออกจะเดินสายขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เป็นต้น.