สื่อต่างประเทศ รายงานว่า สหรัฐฯกำลังเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมจากรัสเซียเพิ่มเป็น 200% ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อรักษาระดับความกดดันกับกรุงมอสโก เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี ที่รัสเซียรุกรานยูเครน
แม้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะยังไม่ได้ออกมาแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับฝ่ายบริหารในด้านความเสียหายที่จะตามมากับภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ยานยนต์
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้ซุ่มพิจารณานาถึงการเคลื่อนไหวในด้านการขึ้นภาษี มานานกว่าหลายเดือน โดยมุ่งเป้าไปที่รัสเซีย เนื่องจากกรุงมอสโกขายสินค้าตัดราคาในตลาดสหรัฐฯ และสร้างความเสียหายต่อบริษัทสัญชาติอเมริกัน
ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อลงโทษและกีดกันรัฐบาลของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ด้วยการอายัดทรัพย์สินในธนาคารกลางทั่วโลก มุ่งเป้าไปที่ภาคธนาคาร เทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ รวมถึงการลงโทษบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับประธานาธิบดีรัสเซียด้วย
และในครั้งนี้เป็นการต่อต้านการนำเข้าอะลูมิเนียมจากรัสเซียถือเป็นความพยายามอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้วของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปในการลดบทบาทรัสเซียในฐานะมหาอำนาจสินค้าโภคภัณฑ์โลก โดยสหภาพยุโรปห้ามนำเข้าน้ำมัน ก๊าซ และเชื้อเพลิงจากรัสเซีย เพื่อลดการพึ่งพารัสเซียด้วยเช่นกัน
สำหรับรัสเซียเป็นผู้ผลิตอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 รองจากจีน และเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับตลาดสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้ในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่ามากกว่าสินค้าทั่วไป โดยมีผู้ซื้ออยู่ตั้งแต่กลุ่มอุตสาหกรรมอาคารการก่อสร้างไปจนถึงยานยนต์
การขึ้นอัตราภาษีที่สูงจะทำให้สหรัฐยกเลิกการนำเข้าโลหะจากรัสเซียได้ แม้ว่าจากเดิมจะมีปริมาณการนำเข้าอะลูมิเนียมจากรัสเซีย 10% ของการนำเข้าอะลูมิเนียมทั้งหมด แต่ปริมาณการนำเข้ากลับลดลงเหลือเพียง 3% ตามข้อมูลการค้าของสหรัฐฯ
ในขณะที่ทำเนียบขาวได้มีการชั่งน้ำหนักการดำเนินการขึ้นภาษีอะลูมิเนียมจากรัสเซีย ผู้ซื้อในสหรัฐฯก็ได้หารือเกี่ยวกับศักยภาพการจัดหาซัพพลายทางเลือกในกรณีที่มีมาตรการห้าม ขึ้นภาษี หรือคว่ำบาตรเกิดขึ้น
ขณะที่สมาคมอะลูมิเนียม ตัวแทนของอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ได้แถลงการณ์สนับสนุนมาตรการทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตร NATO เห็นว่าจำเป็น เพื่อจัดการกับการรุกรานของรัสเซีย
ปริมาณการนำเข้าอะลูมิเนียมจากรัสเซียในสหรัฐฯ ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์ในเดือนตุลาคม เนื่องจากคำสั่งห้ามจากฝ่ายบริหาร ทำให้ผู้ซื้อในประเทศเกิดความกังวล อย่างไรก็ตามการนำเข้าดีดตัวขึ้นเป็น 11,600 ตัน ในเดือนพฤศจิกายน ก่อนจะลดลงกลับมาที่ 9,700 ตันในเดือนมกราคม
อ้างอิง Bloomberg, Reuters, Economictimes