"ราคาทองคำ" ปี 66 มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะขึ้นไปแตะบาทละ 40,000

Economics

Analysis

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

"ราคาทองคำ" ปี 66 มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะขึ้นไปแตะบาทละ 40,000

Date Time: 6 ก.พ. 2566 16:36 น.

Video

บรรยง พงษ์พานิช แกะปมเศรษฐกิจไทยโตต่ำ ฟื้นช้า พร้อมแนะทางออก

Summary

  • "ราคาทองคำ" ปี 66 มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะขึ้นไปแตะบาทละ 40,000

Latest


"ราคาทองคำ" ปี 66 มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะขึ้นไปแตะบาทละ 40,000  อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด ประเมินอาจจะยาก แต่ประเมินราคาทองคำไทยอยู่ที่ช่วงราคา 31,800-32,000 บาทต่อบาททองคำ

ธีรรัฐ จุฑาวรากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด กล่าวว่า ในปี 2023 นี้ปัจจัยที่จะหนุนทองราคาทองคำได้แก่ 1.ความขัดแย้งระหว่างประเทศ จากปีก่อนเราจะเห็นว่าเกิดการจับมือกันระหว่าง ซาอุฯ และจีน เพื่อดันให้สกุลเงินหยวนเป็นทางเลือกในการซื้อขายน้ำมัน ซึ่งแปลว่าบริษัทน้ำมันทั่วโลกสามารถกระจายความเสี่ยงออกจากสกุลเงินดอลลาร์ได้

จากที่เมื่อก่อนไม่มีทางเลือกอื่นเลยต้องซื้อขายน้ำมันกันเป็นสกุลเงินดอลลาร์เท่านั้น แต่ตอนนี้สามารถแบ่งมาถือหยวนในการซื้อ-ขายบางส่วนได้ เชื่อว่าสหรัฐฯที่เคยเป็นเจ้าตลาดมาตลอดก็คงเริ่มมีเสียวสันหลังกันบ้าง

โดยสาเหตุที่ทำให้ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นมาเลยก็คือ เมื่อมีทางเลือกมากขึ้นความต้องการดอลลาร์ในตลาดก็จะลดลงนั่นเอง แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ทางสหรัฐฯ ที่แต่เดิมก็มีความไม่พอใจพี่จีนอยู่แล้ว ยิ่งเกิดความไม่พอใจเข้าไปอีก เดาได้เลยว่าจีนกับสหรัฐฯ จะคืนดีกันในเร็วๆ นี้คงเป็นไปได้ยากมาก

เราอาจจะได้เห็นสงครามการค้าที่น่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งความขัดแย้งในขั้วมหาอำนาจของโลกจะเป็นตัวกดดันเศรษฐกิจโลกให้ไม่สามารถเติบโตอย่างราบรื่นได้

2. เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ในช่วงที่ผ่านมามีหลายคนถามว่า เรากำลังจะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจถดถอยใช่หรือไม่ มันจะเกิดขึ้นตอนไหน ในความเป็นจริงแล้วเราอาจจะไม่ได้กำลังจะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจถดถอย เพราะเราได้เข้ามาอยู่ในยุคเศรษฐกิจถดถอยมานานแล้ว

ตั้งแต่ปี 2022 จนถึงต้นปี 2023 เราเห็นสัญญาณต่างๆ ที่เริ่มแสดงตัวอย่างเด่นชัดขึ้นมาเท่านั้น โดยสัญญาณต่างๆ เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก รวมไปถึงประเทศพี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯก็โดนผลกระทบไปเต็มๆ สาเหตุหลักๆ ก็เกิดจากปัญหาเงินเฟ้ออยู่ที่อยู่ในระดับที่สูงมาก ทำให้ธนาคารกลางของหลายประเทศต้องใช้ยาแรงในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อก็คือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยผลกระทบที่ตามมาก็เกิดขึ้นอย่างมหาศาล

เพราะการขึ้นดอกเบี้ยแม้จะชะลอเงินเฟ้อในระดับที่สูงได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจเช่นกัน ซึ่งในตอนนี้เราก็เริ่มเห็นผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ หลายบริษัทเริ่มประกาศลดคนอย่างต่อเนื่อง หลายบริษัทล้มไปก็มี และที่สำคัญเลยเงินเฟ้อกลับยังไม่ลดลงมาอย่างที่หวัง ดังนั้นดอกเบี้ยอาจต้องขึ้นไปอีกสักพัก คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะทำจุดสูงสุดภายในปีนี้

หลังจากนั้นเมื่อการขึ้นดอกเบี้ยถึงจุดที่ไม่สามารถขึ้นได้แล้ว หรือเงินเฟ้อเริ่มลดมาสู่ระดับต่ำ นโยบายทางการเงินของทั่วโลก จะเปลี่ยนเป็นแนวพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ เราก็จะได้เห็นการกลับมาลดดอกเบี้ยหรือพิมพ์เงินอีกครั้ง ในตอนนั้นทองคำจะเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนมองว่า 2100 ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ใช่เรื่องยากเลย

3. ในปี 2022 ทองคำถูกเพิ่มการสะสมโดยธนาคารกลางหลายๆ ประเทศ โดยการสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกนั้นทำเพื่อกระจายความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากมีตัวอย่างจากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ธนาคารกลางตระหนักมากขึ้นว่าการถือครองดอลลาร์ในปริมาณมากมีความเสี่ยง

เพราะเราได้เห็นตัวอย่างแล้วว่าหากเกิดปัญหาระหว่างประเทศ การที่เราถือสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่งเอาไว้เยอะๆ ทำให้เกิดช่องทางในการใช้มาตรการคว่ำบาตร เงินที่มีไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้เลย นี่ถือเป็นความเสี่ยงระดับชาติ

จากทั้ง 3 ปัจจัยหลักที่กล่าวไป ล้วนส่งผลดีเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำให้มีโอกาสพุ่งสูงได้ โดยถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดการที่ทองคำจะขึ้นไปอย่างน้อยๆ ที่ระดับ 2,100 ดอลลาร์สหรัฐ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย นักลงทุนที่ดอยกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว หรืออยากทำกำไรกันในปีนี้เชื่อว่าจะไม่ผิดหวัง

อย่างไรก็ตามก็ยังมีความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจจะต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด โดยหลักๆ นั้น จะมีอยู่ 3 ข้อ คือ

1.ในด้านความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งจีน และสหรัฐฯ สรุปว่าจะทะเลาะกันหรือจะหันมาลงเรือลำเดียวกันก็ยังไม่แน่ไม่นอน เพราะหากเศรษฐกิจไปถึงจุดที่แย่มากๆ ก็เป็นไปได้ที่เขาจะตกลงอะไรกันบางอย่างในระยะสั้นเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติไปก่อน

เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ค่อยมาขัดแย้งกันใหม่ เพราะในโลกนี้ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรผลประโยชน์เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ถ้ากรณีนี้เกิดขึ้นมาจริงๆ จะกดดันทองคำอย่างมากในระยะสั้น แต่โดยส่วนตัวมองว่ากรณีนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก

2. ปัญหาเงินเฟ้ออาจจะจบได้อย่างรวดเร็ว หากความขัดแย้งระหว่างประเทศจบลงจีนกับสหรัฐฯกลับมาทำให้โลกค้าขายเสรีอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงเงินเฟ้อก็ต้องร่วงลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หรือยิ่งมากไปกว่านั้นอาจจะกลับมาลดดอกเบี้ยได้สบายๆ เพราะเงินเฟ้อกลับมาอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ดอกเบี้ยต้องอยู่ในระดับสูงอีกต่อไป แบบนี้เศรษฐกิจที่เราคิดกันว่าจะถดถอยรุนแรงที่กลัวกัน ก็จะไม่เกิดขึ้น

3. ทิศทางค่าเงินบาท หลังจากมีการเปิดประเทศเป็นไปได้ว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจะไหลเข้าไทยเป็นจำนวนมาก จนอาจจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าลงไปต่ำกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์ อีกทั้งนอกจากด้านการท่องเที่ยวแล้ว ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจในด้านเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งค่อนข้างดีกว่าหลายๆ ประเทศในเอเชีย ซึ่งทำให้แม้ทองคำต่างประเทศมีโอกาสพุ่งสูง แต่ก็จะโดนกดดันด้วยการแข็งตัวของค่าเงินบาทนั่นเอง

แต่เรามองว่า ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32 ต่อดอลลาร์ก็แข็งค่าเกินไปแล้ว เพราะเราต้องอย่าลืมว่าสหรัฐฯยังขึ้นดอกเบี้ยอยู่ และหากเกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงจริง ๆ ซึ่งอาจจะเกิดในยุโรปก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นเพราะเงินไหลออกจากยุโรปไปสู่สกุลเงินดอลลาร์

หรือแม้แต่ความไม่แน่นอนระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางการค้า สงคราม ก็ส่งเสริมให้ดอลลาร์แข็งค่าเช่นกัน สุดท้ายแล้วจากความเสี่ยง 3 ข้อ ก็มองว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้นได้น้อย แต่นักลงทุนระวังไว้ก็ไม่เสียหาย

โดยสรุปแล้วหากไม่มีอะไรผิดพลาดราคาทองคำอย่างน้อย ๆ ในปี 2023 น่าจะขึ้นไปถึงระดับ 2,100 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าเงินบาทก็น่าจะอยู่ที่บริเวณ 32 บาทต่อดอลลาร์ เพราะแบงก์ชาติเองก็ไม่ได้อยากให้บาทแข็งมากเกินไปหรอก

ดังนั้นเราจะสามารถคำนวณราคาทองคำแท่งประเทศไทยได้คร่าวๆ อยู่ที่ 31,800 บาท เป็นอย่างน้อย นักลงทุนที่ติดดอยกันไว้ในปีที่แล้ว ปีนี้ก็เตรียมตัวหยุดความหนาวแล้วลงดอยกันได้ แต่ถ้าพูดถึงราคาจะขึ้นไประดับ 35,000 ถึง 40,000 บาทต่อบาททองไหม มองว่าน่าจะเป็นไปได้ยากมากที่จะเกิดขึ้นได้ในปีนี้หรือปีหน้า นักลงทุนทองคำก็คงได้แต่นั่งบนภูดูเสือกัดกัน สุดท้ายแล้วเมื่อสงครามการค้าเกิดขึ้นก็จะส่งผลดีต่อราคาทองคำในปีนี้อย่างแน่นอน


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ