สถานการณ์เศรษฐกิจโลกวันนี้ แนวโน้มที่จะเกิดภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย Recession” เป็นไปได้สูงขึ้น สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานล่าสุดว่า นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้บรรยายสรุปให้กับ “ผู้กำหนดนโยบาย” ฟังในเดือนพฤศจิกายนว่า โอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 50% เนื่องจากความเสี่ยงของ การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลง ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก และ การปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจต้องใช้ปริมาณที่มากขึ้นกว่าที่คาดไว้ในสภาพที่เงินตึงตัว จึงมองว่า มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปีหน้า
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ในเดือนเดียวกัน ก็มีความเห็นว่า มีโอกาสสูงถึง 65% ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯปี 2566 โดยอิงจากค่ามัธยฐานของแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ของบลูมเบิร์ก ทำให้ความน่าจะเป็นอยู่ที่ 100%
สัปดาห์ที่แล้ว สำนักข่าวรอยเตอร์ ก็ได้รวบรวม คาดการณ์เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ และ เศรษฐกิจจีน ในปี 2566 ของธนาคารยักษ์ใหญ่มาเปรียบเทียบให้ดู รวมทั้งการ คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสูงสุดของ Fed ในปี 2566 ผมเลยเอามาลงให้ดูเป็นข้อมูล ดังนี้
มอร์แกน สแตนลีย์ เศรษฐกิจโลก 2.2% สหรัฐฯ 0.05% จีน 5%
โกลด์แมน แซคส์ เศรษฐกิจโลก 1.80% สหรัฐฯ 1.1% จีน 4.50%
บาร์เคลย์ส เศรษฐกิจโลก 1.70% สหรัฐฯ -0.1% จีน 3.80%
บีเอ็นพี พาริบาส์ เศรษฐกิจโลก 2.3% สหรัฐฯ -0.1% จีน 4.50%
สำนักข่าวรอยเตอร์ ยังได้รวบรวม ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐฯปี 2566 และ คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสูงสุดของ Fed ในปี 2566 ดังนี้
มอร์แกน สแตนลีย์ เงินเฟ้อสหรัฐฯ 3.3% ดอกเบี้ยเฟดสูงสุด 4.625% (ในเดือน มี.ค.)
โกลด์แมน แซคส์ เงินเฟ้อสหรัฐฯ 3.2% ดอกเบี้ยเฟดสูงสุด 5-5.25% (ในเดือน พ.ค.)
บาร์เคลย์ส เงินเฟ้อสหรัฐฯ 3.70% ดอกเบี้ยเฟดสูงสุด 5-5.25% (ในเดือน มี.ค.)
บีเอ็นพี พาริบาส์ เงินเฟ้อสหรัฐฯ 4.40% ดอกเบี้ยเฟดสูงสุด 5-5.25% (ในไตรมาสแรก)
ก็อย่างที่ผมได้เขียนไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว เฟดจะกดเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่สูงถึง 8-9% ให้ลงมาเหลือ 2% เฟดจะต้องขึ้นดอกเบี้ยแข่งกับเงินเฟ้อ โดยเฟดจะต้องขึ้นดอกเบี้ยให้สูงกว่าเงินเฟ้อ จึงจะสามารถกดเงินเฟ้อลงมาได้ ขณะเดียวกันเฟดก็ได้ทำ QT ดูดเงิน QE กลับทำให้เกิดสภาพ “เงินดอลลาร์ตึงตัว” ไปทั่วโลก เพื่อทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่า ช่วยลดเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เป็นมาตรการที่โหดมากส่งผลให้ประเทศเกิดใหม่ล้มตายกันมากมาย สังเวยความผิดพลาดของเฟดและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
วารสาร การเงินธนาคาร ฉบับเดือนพฤศจิกายน ก็ได้ทำสกู๊ปปกเรื่อง “เศรษฐกิจโลกถดถอย RECESSION ประเทศไหนเสี่ยงสูงสุด?” จะมีประเทศไหนไปหาอ่านกันดู การประชุมของ IMF กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และ ธนาคารโลก ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อเดือนตุลาคม ที่ประชุมก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เศรษฐกิจโลกเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยในปี 2023 โดย 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกจะเจอกับพิษเศรษฐกิจหดตัว จากปัจจัยลบที่มาจาก นโยบายการเงินที่เข้มงวดของสหรัฐฯ ทำให้เงินดอลลาร์แข็งเมื่อเทียบกับสกุลอื่นทำให้เงินประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีค่าลดลง ก่อให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้นและภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น
การทำธุรกิจในวันนี้ ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ “ข้อมูลเศรษฐกิจ” เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ช่วยให้คาดการณ์ได้คร่าวๆว่า “ปีหน้าเผาจริง” เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน.
“ลม เปลี่ยนทิศ”