วิเคราะห์เบื้องลึก ชนวนเหตุอาณาจักร FTX ล่มสลาย คุยแบบเล่าง่ายๆ กับกูรูบล็อกเชน

Economics

Analysis

ลภัสรดา พิพัฒน์ (รดา)

ลภัสรดา พิพัฒน์ (รดา)

Tag

วิเคราะห์เบื้องลึก ชนวนเหตุอาณาจักร FTX ล่มสลาย คุยแบบเล่าง่ายๆ กับกูรูบล็อกเชน

Date Time: 19 พ.ย. 2565 16:30 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • FTX กระดานเทรดคริปโตยักษ์ใหญ่ ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จนนำมาสู่การยื่นขอล้มละลายต่อศาล ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ชนวนเหตุที่ทำให้ธุรกิจยักษ์ใหญ่เงินขาดมือมหาศาลคืออะไร

Latest


ตลอดเดือนพฤศจิกายนที่ผ่าน นับเป็นอีกช่วงเวลาที่เลวร้ายของตลาดคริปโต ที่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของราคาเหรียญที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่เป็นความเชื่อมั่นต่ออุตสาหกรรมโดยรวม ที่อาจเรียกว่าเป็นวิกฤติศรัทธาเลยก็ว่าได้ จากเหตุการณ์ช็อกโลกกับการล่มสลายของ FTX กระดานเทรดคริปโตยักษ์ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จากการเผชิญปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จนนำมาสู่การยื่นขอล้มละลายภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ชนวนเหตุที่ทำให้ธุรกิจยักษ์ใหญ่เงินขาดมือมหาศาลคืออะไร หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อ ตลาดคริปโตจบแล้วหรือยัง?

ไทยรัฐออนไลน์ จึงได้ชวน คุณธรรมลักษณ์ สิงหพันธ์ (The Pleb) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง ContributionDAO สตาร์ทอัพด้าน Web3 ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการบล็อกเชนมาตั้งแต่ปี 2016 และก่อตั้ง Tech Talent Community ของประเทศไทย มาพูดคุยและวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ FTX และมุมมองของโลกบล็อกเชนที่นอกเหนือจากมิติของการลงทุนกัน

จุดกำเนิดของ FTX กระดานเทรดคริปโตที่คุ้นหู

คุณธรรมลักษณ์ เล่าว่า ก่อนที่ Sam Bankman-Fried (SBF) จะก่อตั้ง FTX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซี เขาได้ก่อตั้งกองทุน  Quantitative Trading ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นใช้กลยุทธ์ในการเทรด หรือลงทุนด้วยการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ที่ชื่อว่า Alameda Research ขึ้นมาเมื่อปี 2017 โดยเขาใช้เวลาในการเติบโตประมาณ 2 ปีเท่านั้น จนกระทั่งมีทั้งเงินทุน และความน่าเชื่อถือประมาณหนึ่ง

ต่อมาปี 2019 ถือเป็นปีที่กระแสของ Centralize Exchange กำลังมา และ SBF ก็มองว่าโมเดลธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตค่อนข้างสูง จึงได้ก่อตั้ง FTX ขึ้นมา และในปีเดียวกันนั้นเองที่ Changpeng Zhao (CZ) ได้ก่อตั้ง Binance เช่นกัน

สำหรับนักลงทุนชุดแรกของ FTX ต่างเป็นนักลงทุนที่อยู่ในโลกของ Web2 มาก่อน แต่ด้วยความต้องการที่จะเข้ามาในโลกของ Web3 ต่อมา SBF จึงต้องไประดมทุนกับ Binance ด้วย

หลังจากที่ก่อตั้ง FTX แล้ว ปี 2020 เป็นต้นไปถือเป็นปีแห่งการสร้างระบบนิเวศ เพื่อให้อาณาจักรของ SBF เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการเข้าไปให้การสนับสนุนทั้ง Terra Solona โปรเจกต์ DeFi และ NFT น้อยใหญ่ต่างๆ อาจมองได้ว่าตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาเป็นยุคที่เฟื่องฟูของ FTX มากๆ พร้อมทั้งมีแบรนด์ย่อยในหลากหลายประเทศทั่วโลก ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของคนทั้งโลกที่มีต่อ SBF มากขึ้นไปอีก จนกระทั่ง FTX ได้มีการออกโทเคนที่ชื่อว่า FTT ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผู้คนแห่กันไปซื้อ FTT ซึ่งแทบทุกประเทศมีคนเข้าไปถือหมด

ดีลยักษ์ปี 2022 สัญญาณแห่งความสั่นคลอนของ FTX 

คุณธรรมลักษณ์ เล่าต่อว่า จนกระทั่งปี 2022 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มสั่นคลอนของ FTX โดยไล่เรียงเหตุการณ์ได้ดังนี้

ช่วงต้นปี FTX ได้มีการระดมทุนเพิ่ม 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในรอบ Series C ที่ Valuation กว่า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม Venture Capital ขนาดใหญ่ และสถาบันการเงินต่างๆ เช่น SoftBank Temasek Paradigm Tiger Global เป็นต้น ซึ่งดีลนี้เป็นดีลที่ใหญ่มาก จนอาจเกือบใหญ่สุดในโลกของ Web3 เลยก็ว่าได้

เมื่อย้อนกลับไปมองเช่นนี้จึงนำมาสู่การตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่า ดีลนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ เพราะว่ากองทุนใหญ่ไปทำ Due Diligence ตรวจสอบสถานะกิจการอย่างละเอียด และแกะรอยเงินทุน รายได้ กำไร โครงสร้างบริษัท ได้ทุกซอกทุกมุม ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มาก

แต่หลังจากจบการระดมทุนในรอบดังกล่าว ต่อมาเข้าสู่ช่วงการล่มสลายของอาณาจักร Terra ช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่ง Alameda Research ได้ลงทุนใน Terra เช่นกัน ตั้งแต่ช่วงแรกๆ แค่นั้นไม่พอ ยังช่วยสร้างระบบนิเวศด้วย ย่อมส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก เพราะตอนที่ราคาเหรียญ Luna ตก มันร่วงเร็วมาก เพราะถูกโจมตีแรง จากการที่เตรียมตัวมานาน แต่กองทุนต่างๆ หรือฝั่งตรงข้ามผู้ที่ถูกโจมตีนั้นเตรียมตัวไม่ทัน ทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นทั้งหมด ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมคริปโตโดยรวม นับว่าจุดนั้นก็ถือเป็นหนึ่งในโดมิโนเอฟเฟกต์ใหญ่

ต่อมา กรกฎาคม ถึง ตุลาคม ช่วงนี้เป็นช่วงที่ FTX เริ่มขาดทุนหนัก และโดนหลายทอด นอกจากจะเจ็บเองแล้ว โบรกเกอร์ที่ FTX เข้าไปซื้ออย่าง Voyager ก็เจ็บหนักเช่นกัน ดังนั้นจึงส่งผลกระทบต่อ Balance Sheet ของ FTX

ประกอบกับข่าวการลาออกของหัวเรือหลักอย่าง Sam Trabucco อดีต CEO ของ Alameda Research ตั้งแต่ปี 2017 และเป็น Keyman ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตและทำกำไรมาโดยตลอด การลาออกของครั้งนี้เป็นการลาออกแบบไม่แจ้งล่วงหน้า ไม่ชี้แจงอะไรเลย จนทำให้ทุกคนตั้งคำถาม

ต่อมา Caroline Ellison ซึ่งเป็นแฟนเก่าของ SBF ขึ้นมาเป็น CEO แทน เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้คนตั้งคำถามหนักขึ้นไปอีก รวมถึงสงสัยความสามรถที่แท้จริงของเธอ หลายฝ่ายไม่พอใจ ทำให้พนักงานระดับอาวุโสลาออกหลายคน ซึ่งรวมถึง Brett Harrison หัวเรือใหญ่ของ FTX US ด้วย 

หลังจากนั้น FTX เริ่มโดนข่าวลือ ซึ่งเป็นข่าวไม่ดีโหมกระหน่ำเข้ามา โดยคุณธรรมลักษณ์ได้แบ่งเป็น 2 ส่วน

ส่วนแรก ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

FTX มีผลิตภัณฑ์ในแพลตฟอร์มมีข้อสงสัยอาจขัดแย้งกับประเด็นกฎหมายค่อนข้างมาก เช่น การปล่อยกู้ที่ผิดปกติ อย่าง stable coin บน FTX ที่ได้ผลตอบแทนถึง 19%

การพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าได้รับการสนับสนุนโดยมี US bank regulator เป็น backed up แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ออกมาเคลียร์ว่า ทั้งหมดไม่เป็นความจริง

หรือจะเป็นกรณีที่ SBF บริจาคเงินจำนวนมหาศาล ซึ่งคาดว่ามีมูลค่าสูงถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งของสหรัฐฯ ก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งนักการเมืองเหล่านี้จะเป็นบุคคลที่มีศักยภาพและมีอิทธิพลต่อการออกกฎหมายว่าด้วยการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐฯ ในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ Alameda Search บริจาคเงินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่พรรค Democrats และสนับสนุนโจ ไบเดน

อีกทั้งยังมีข่าวเรื่องของ การล็อบบี้นักการเมืองในเรื่องการควบคุม Defi account ให้ต้องผ่านการ KYC และการออกร่างกฎหมาย DCCPA

ส่วนที่สอง ข้อมูลภายในที่หลุดออกมา

Balance Sheet ของ FTX และ Alamada Research ที่หลุดออกมา เผยให้เห็นถึงทรัพย์สินที่ครอบครองอยู่ ปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นเหรียญ FTT เหมือนเงินที่เสกขึ้นเอง และใช้เงินพวกนั้นมา Leverage Portfolio ทั้งปล่อยกู้ และค้ำประกัน กล่าวคือ เอาโทเคนที่ไม่มีมูลค่าจริงๆ หรือ asset จริงหนุน ไปปล่อยกู้ด้วยมูลค่าที่เกินความเป็นจริง นั่นก็หมายความว่า Valuation ที่ระดมทุนบริษัทไป 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจกล่าวได้ว่าเป็น Valuation ปลอม จุดนี้เป็นประเด็นเลยที่คนมองว่าเข้าข่าย Ponzi scheme หรือแชร์ลูกโซ่

ซึ่งคนที่เห็นข้อมูลชุดนี้ที่หลุดออกมา จะเป็นกองทุนใหญ่ เฮดจ์ฟันด์ต่างๆ เมื่อเห็นข้อมูลเป็นแบบนี้ พวกเขาย่อมรู้ว่าจะต้องทำอะไร และทุกคนทำทีเดียวพร้อมกัน คือ Short เหรียญ FTT และ CZ Binance ก็คงเห็นเหมือนกัน

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลหลุดออกมาอีกว่า ที่แพลตฟอร์ม FTX ขาดสภาพคล่อง เป็นเพราะการนำเหรียญ FTT ไปปล่อยกู้ ปล่อยค้ำ แล้วผลตอบแทน ณ ช่วงเวลานั้นมันขาดทุนหนัก เลยทำให้มีทุนไม่พอ เพราะถูก liquidated หรือโดนบังคับขาย (ชำระบัญชี) ตรงนี้ถือเป็นจุดชนวนที่ทำให้ FTX ล่มสลายในที่สุด

จริงๆ FTX ไม่ได้นำสินทรัพย์ลูกค้าไปใช้ตั้งแต่แรก แต่มันมีเหตุ…

เหตุการณ์ คือ มีบัญชีหนึ่งซึ่งไม่ทราบชื่อว่าเป็นของใคร ได้ทำการโอนเหรียญ FTT มูลค่าประมาน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าไปใน Binance ต่อมา CZ เลยออกมายอมรับว่าเป็นของเขาเอง และตั้งใจว่าจะเทขาย หลังจากนั้นก็ให้เหตุผล โดยทวีตข้อความใน twitter ในทำนองที่ว่า จะไม่สนับสนุนวิธีที่แทงข้างหลังด้วยการเล่นการเมือง ซึ่งข้อความนี้ไปตรงกับชุดข้อมูลที่เป็นข่าวลือตอนแรก จึงเป็นการชี้มูลได้ว่ามันอาจมีความเป็นจริงซ่อนอยู่ เพราะ CZ คนก็เชื่อมั่นเขาอยู่แล้วด้วย

หลังจากนั้นทำให้เกิด Bankrun ทุกคนแห่กันถอน และทุกคนที่มี FTT พากันเทขายทุกคน และ short ทุกคน และอย่างที่บอกว่า FTX เขาไม่มีเงินไปชำระหนี้ จึงทำให้ต้องเอาสินทรัพย์ลูกค้าไปชำระหนี้แทน และตอนที่คนแห่ถอน FTX ก็มีสินทรัพย์ไม่พอตามคนที่ถอน ปัญหาเลยหนักกว่าเดิม

แต่เขาก็แก้สถานการณ์ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอีกครั้ง โดยกองทุน Alameda ประกาศรับซื้อเหรียญ FTT ที่ราคา 22 ดอลลาร์สหรัฐ และไปขอซื้อกับ CZ แต่ CZ บอกว่าให้ไปซื้อในตลาดเอาเอง

เหตุผลที่ต้องรับซื้อราคานี้ เพราะถ้าเหรียญ FTT ร่วงต่ำกว่า 18 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อไหร่ มูลค่า FTT ที่เอาไป leverage ไว้จะถูก liquidated ทันที จึงต้องทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ราคาต่ำกว่า 18 ดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อ CZ บอกว่าให้ไปซื้อเอง เท่ากับว่าทุกคนที่มี FTT จะได้ราคานี้เท่ากันหมด มันเลยเป็นปัญหา เพราะคนพากันเทขาย ฝั่ง FTX จึงต้องขายเหรียญ SOL และเหรียญอื่นๆ ที่ถือไว้ เพื่อเอาเงินมาซื้อ FTT ไม่ให้ต่ำกว่า 18 ดอลลาร์สหรัฐ ตลาดคริปโตก็เลยแดงหมด

การทำเช่นนี้ทำให้ราคา FTT มันยืนอยู่ได้แค่ 12 ชั่วโมงเท่านั้น แต่พอมันหลุดมันไหลลงไปที่ 3 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง ตอนนั้นคือ Game Over แล้ว เพราะสินทรัพย์ที่ถืออยู่ส่วนใหญ่เป็น FTT โดนบังคับขายหมด

การล่มสลายของ FTX ไม่ได้ใช่เวลาสั้นๆ แค่ 3 วัน แต่มันมีคลื่นใต้น้ำมานานแล้ว แค่ไม่มีคนจุดชนวนเท่านั้น ซึ่ง CZ ได้เปิดให้ คนเลยพร้อมใจกันเทขาย

แม้กระทั่งต่อมา CZ ประกาศเข้ามาช่วยเหลือ เมื่อ Binance ตรวจพบข้อมูลบางอย่างที่ผิดปกติ และตัดสินใจถอนตัวทันที ตรงนี้คือ FTX ตายแบบตายจริง วิกฤติศรัทธาในตัว SBF กันมาก หลังจากนั้นก็มีข่าวร้ายต่างๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นทั้งการถูกแฮก ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นได้กับ FTX เลย

หลังจากนี้โดมิโนเอฟเฟกต์จะไถลยาวขนาดไหน?

คุณธรรมลักษณ์ มองว่า การล่มสลายของ FTX มันรุนแรงกว่ากรณีของ Terra มาก เพราะว่า Terra คนที่เอาตัวเองไปอยู่ในเกมนี้มี 2 แบบ แบบแรก คนที่รู้อยู่แล้วว่าโมเดลแบบนี้มันเป็นแชร์ลูกโซ่ เพราะโมเดลการจ่ายปันผล 20% มันไม่มีที่ไหนเขาให้กันหรอก และแบบที่สอง คือ คนที่ไม่รู้ แต่ตามคนกลุ่มแรกเข้ามา

แต่สำหรับ FTX เป็นโปรเจกต์ที่มีความน่าเชื่อถือประมาณหนึ่ง มีสถาบันขนาดใหญ่ให้การสนับสนุน รวมทั้งมีระบบนิเวศที่เกิดขึ้นรายล้อมมากมาย โปรเจกต์น้อยใหญ่กว่า 30-40 รายที่เกิดขึ้น

พอ FTX ล่ม ถ้าโปรเจกต์เหล่านั้นฝากเงินกับ FTX คือ พังทลาย ดังนั้น CZ จึงประกาศสนับสนุน และให้การช่วยเหลือ ตอนนี้จะเห็นได้ว่าหลายโปรเจกต์กำลังยื้อธุรกิจตัวเองอยู่ ทั้งนักลงทุนมาอุ้ม เทขายของที่มี ประกาศปิดการถอน ทำทุกทางเพื่อที่จะไม่ต้องมาประกาศว่ายื่นล้มละลาย

ส่วนนักลงทุนอย่าง VC ใหญ่ๆ ต่างพากันตีมูลค่าการลงทุนใน FTX เป็นศูนย์ แต่หลังจากนี้วิธีการลงทุนของ VC ในสตาร์ทอัพ web3 จะเปลี่ยนไป คือ ทุกคนน่าจะมีความระมัดระวังตรวจสอบกิจการมากขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ  แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่สำคัญสำหรับคนทำโปรเจกต์ในโลก Web3 คือ โปรดักส์ที่ดี คนเข้ามาใช้งานแล้วเขาได้รับประโยชน์ ที่ไม่ใช่มาทำกิจกรรม เพื่ออยากรับเหรียญ แต่โปรดักส์นั้นจะต้องสร้างคุณค่าได้ โดยที่ผู้ใช้พร้อมที่จะจ่ายเพื่อใช้บริการ หรือแพลตฟอร์มสามารถ provide อะไรบางอย่างให้เขาได้

ยกตัวอย่าง token terminal แพลตฟอร์ม analysis ถ้าผู้ใช้ต้องการรู้ข้อมูลเบื้องลึกของโปรเจกต์ต่างๆ ของโลก Web3 ว่ามีข้อมูลการใช้งานเป็นอย่างไร ที่นี่จะมีให้ แต่ผู้ใช้ต้องสมัครสมาชิก และจ่ายเป็นรายเดือน เพื่อเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นได้

โลกบล็อกเชน และตลาดคริปโต จบแล้วหรือยัง?

คุณธรรมลักษณ์ กล่าวว่า การที่ FTX ล้ม และแม้ว่าหลังจากนี้จะมีโดมิโนเอฟเฟกต์ต่างๆ ตามมามากมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าตลาดมันจะจบแล้ว โดยเฉพาะตลาด Blockchain ณ ตอนนี้มันยังเป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ได้จำเป็นว่าต้องเอาคริปโต โทเคนเข้ามาเกี่ยว มันเป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้โลกใบนี้มีความปลอดภัยและเสมอภาคมากขึ้น เทคโนโลยีไม่เคยผิด แต่ผิดที่ คน นำไปใช้ในทางที่ไม่ดี

ดังนั้นในอนาคตหลังจากนี้เราจะเห็น real product มากขึ้น แต่แค่ช่วงที่ผ่านมาตลาดมันกระทิง และทุกคนให้ความสำคัญในแง่ของการลงทุน การเก็งกำไร ซึ่งมันทำให้คนที่เป็นนักพัฒนา อาจไม่สามารถที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ได้ทันตามความต้องการของตลาด

“อีก 2-3 ปี ข้างหน้า เราน่าจะได้เห็นโปรดักส์ที่มีการใช้งานจริงมากขึ้น เพราะตอนนี้หลายอย่างอยู่ระหว่าง แต่แค่ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่เอามาใช้ ดังนั้นในช่วงปี 2024-2025 อาจได้เห็นโปรดักส์ที่เป็น Game Changer จริงๆ ก็ได้” คุณธรรมลักษณ์ กล่าว

สุดท้ายนี้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการล่มสลายของ FTX แนะนำให้เก็บประวัติต่างๆ เป็นหลักฐานไว้ เพื่อใช้ข้อมูลในการยื่นฟ้องร้องต่างๆ และติดตามข่าวเรื่องการฟ้องร้องต่อเนื่อง เพราะอย่างน้อยที่สุดการที่เราได้ active บ้าง มันดีกว่าปล่อยความสูญเสียโดยไม่ทำอะไรเลย.

อ่านเรื่องราวของ FTX แบบ Infographic ได้ที่ เปิดเบื้องลึก FTX


Author

ลภัสรดา พิพัฒน์ (รดา)

ลภัสรดา พิพัฒน์ (รดา)
Leading efforts to deliver content on the Digital Economy and the Future of Money.