สุนทรพจน์ของ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ที่กล่าวในงานประชุมผู้แทนระดับชาติแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เป็นที่จับตาของทั่วโลก เพราะถือเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงแผนการพัฒนาประเทศในอนาคตของจีน ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งจีน และโลก
โดยในการแถลงเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) หนึ่งในความสำคัญอันดับแรกๆ ที่สี จิ้นผิง เน้นย้ำ คือ นวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการพัฒนาและดึงดูด Talent จากทั่วโลก เพื่อผลักดันให้จีนกลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก
สี จิ้นผิง กล่าวว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และทรัพยากรมนุษย์ เป็นเสาหลักพื้นฐานและยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนความทันสมัยของจีน ที่จะพาให้ก้าวสู่การเป็นประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่
และได้เน้นย้ำให้กับที่ประชุมตระหนักอีกว่า นวัตกรรมยังคงเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนความทันสมัยของจีน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเป็นสมรรถนะหลักของการผลิต เหล่า Talent ถือเป็นทรัพยากรหลัก และนวัตกรรมเป็นแรงผลักดันหลักในการเติบโตของจีน
จีนจะส่งเสริมอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนแรงงานมืออาชีพของจีน และสร้าง Talent หรือกลุ่มผู้มีความสามารถสูง โดยจะให้ความสำคัญต่อการพัฒนาด้านการศึกษา ที่เสริมสร้างการพึ่งพาตนเองและความแข็งแกร่งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น
สี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนจะสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่เปิดกว้างและแข่งขันได้ทั่วโลก โดยจะเร่งดำเนินการตามกลยุทธ์การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการเชิงกลยุทธ์ของจีนที่ต้องการเป็นผู้บุกเบิก และเป็นต้นแบบของการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสาขาที่สำคัญ
นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ยังได้ให้คำมั่นว่า จะเร่งผลักดันจีนให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรม และแหล่งรวม Talent ของโลก เพราะตอนนี้กลยุทธ์การดึงดูดคนเก่งของประเทศกำลังเผชิญจากประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ไต้หวันและสิงคโปร์ ซึ่งได้เพิ่มความพยายามในการดึงดูดคนงานจากทั่วโลก
เส้นทางฝันของ สี จิ้นผิง เต็มไปด้วยความท้าทาย
ความท้าทายของจีนไม่ได้มีเพียงแค่ประเด็นการแข่งขันดึงดูดคนเก่งของประเทศในเอเชียเท่านั้น แต่ศึกใหญ่ที่เป็นความท้าทายหลักของจริง หนีไม่พ้นสหรัฐอเมริกา ...
ก่อนหน้าที่จะมีงานประชุมใหญ่ของตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์จีน ฝั่งสหรัฐอเมริกาได้มีการเปิดเผยถึงกลยุทธ์ด้านความมั่นคงของชาติ ที่ประกาศชัดเจนว่า ทั้งเจตนารมณ์และความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์เพื่อเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆ กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกของจีน ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดก็เพื่อหาผลประโยชน์ให้กับตนเองนั้น เป็นความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์แบบเรื้อรังมากที่สุดที่อเมริกาต้องเผชิญในยุคหลังสงครามเย็นเลยทีเดียว
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น คือ สหรัฐอเมริกาจึงคุมเข้มการส่งออก เพื่อจำกัดขีดความสามารถในการเข้าถึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงของจีน โดยสหรัฐฯ จะมุ่งเป้าไปที่การนำไปใช้งานในซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ที่กังวลว่าจีนจะใช้ปรับปรุงการคำนวณ เพื่อผลประโยชน์ทางการทหาร เช่น ออกแบบอาวุธ ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ หรือแม้แต่นำไปวิเคราะห์ผลของสงคราม
นอกจากนี้ยังมีกฎเกณฑ์ใหม่ในการกำหนดว่าคนของสหรัฐอเมริกาจะต้องขอใบอนุญาตสำหรับกิจกรรมที่จะสนับสนุนการพัฒนาชิปในจีนด้วย
เหล่านี้คือ ความท้าทายเป็นอย่างยิ่งต่อเป้าหมายของ สี จิ้นผิง ที่วางไว้ให้จีนมุ่งหน้าสู่ศูนย์กลางของโลกในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี
Talent อาวุธสำคัญ ในสงครามเทคโนโลยี
Peng Peng ประธานบริหารของ Guangdong Society of Reform ให้ความเห็นกับสำนักข่าว South China Morning Post ว่า การมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่ สี จิ้นผิง ได้กล่าวในการประชุมครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นและความเร่งด่วนในการก้าวสู่มหาอำนาจทางเทคโนโลยีระดับโลกของจีน เพราะจีนไม่อาจหลีกเลี่ยงกับการปราบปรามของสหรัฐฯได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพิ่มการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงให้ความสำคัญกับการเร่งพัฒนา Talent และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
ด้าน Xie Maosong นักวิจัยอาวุโสของ National Institute of Strategic Studies ที่มหาวิทยาลัย Tsinghua มองว่า การแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนเริ่มต้นมาจากสงครามการค้า และจะกลายเป็นสงครามเทคโนโลยีในไม่ช้า โดยการชนะในสงครามแย่งชิง Talent เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เป็นผู้ได้เปรียบการแข่งขันในระยะยาว
จะสังเกตได้ว่า ในสุนทรพจน์ที่ สี จิ้นผิง ได้กล่าวนั้น ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก ที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒา Talent รวมถึงการดึงดูด Talent จากทั่วโลกเข้าสู่ประเทศเพื่อมาช่วยเหลือจีน
อย่างไรก็ตามเมื่อปลายเดือนกันยายนปี 2022 เป็นช่วงเวลาที่ สี จิ้นผิง ได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงการให้ความสำคัญกับการดึงดูด Talent จากทั่วโลกมาเพื่อช่วยพัฒนาประเทศให้สามารถก้าวสู่ผู้นำโลกได้ โดยจีนได้ประกาศยุทธศาตร์ด้วยการเพิ่มทุนวิจัยและพัฒนาในประเทศอย่างมหาศาล เพื่อให้นวัตกรรมจีนก้าวสู่ระดับโลกเร็วที่สุด.