ผมหลบไปเขียนเรื่องสนุกสนานชวนเที่ยวงาน ชวนอ่านหนังสือ และชวนคุยถึงรายการประกวดเพลงลูกทุ่งระดับมัธยมทั่วประเทศผ่านรายการ “ชิงช้าสวรรค์ 2022” รวม 2 วันเต็มๆ ในคอลัมน์วันเสาร์กับวันอาทิตย์เมื่อวานนี้
รู้สึกสดชื่นรื่นรมย์และมีความสุขพอสมควรกับเรื่องราวที่เขียนและบางเรื่องบางงานก็ได้มีโอกาสไปสัมผัสมาด้วยตนเอง
กลับมาสู่คอลัมน์ปกติประจำวันในวันนี้ ซึ่งก็คงจะต้องเขียนเรื่องราวให้เข้ากับเหตุการณ์ พลันความห่อเหี่ยวก็กลับมาอีกครั้ง
เพราะข่าวใหญ่ของโลกข่าวหนึ่ง ซึ่งจะมีผลกระทบไปทั่วโลกอย่างมาก รวมทั้งประเทศไทยเราด้วยก็คือข่าวที่ว่า “เงินเฟ้อ” ที่สหรัฐฯ ยังคงอยู่ในอัตราสูง
ส่ออาการ “ดื้อยา” ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯฉีดมาแล้วหลายเข็ม และเป็นที่ชัดเจนอีกครั้งว่า น่าจะต้องฉีด “เข็มใหญ่” ต่อไปอีกในอนาคตอันใกล้ตามแผนเดิมที่วางกันไว้
ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ซึ่งเป็น 1 ในตัวเลขสำคัญที่ใช้ในการวัด “เงินเฟ้อ” ประจำเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นถึง 8.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบเป็นรายปีกับปีที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่มที่ 8.1 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบเดือนต่อเดือนของปีนี้ก็พบว่าเจ้าดัชนีที่ว่านี้เพิ่มขึ้นอีก 0.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเดือนก่อน...หรือสูงขึ้นกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.3 เปอร์เซ็นต์
ครั้นเมื่อดูเฉพาะดัชนี CPI พื้นฐานคือตัดหมวดอาหารและหมวดพลังงานออกไปก็ยังเพิ่มถึง 6.6 เปอร์เซ็นต์ เทียบปีต่อปีสูงกว่าที่คาดกันไว้ว่าควรจะเป็น 6.5 เปอร์เซ็นต์
และเมื่อมาเปรียบเทียบรายเดือนเทียบกับสิงหาคมของปีนี้ ก็พบว่าดัชนีพื้นฐานดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6 เปอร์เซ็นต์ หรือเพิ่มต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2
ตอนข่าวเงินเฟ้อยังสูงออกมาแรกๆ ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับทำท่าเหมือนเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน มีนักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อหุ้นที่ราคาร่วงหล่นมาก่อนหน้านี้หลายวัน...จนตลาดหุ้นสำคัญพุ่งกระฉูดทั้ง 3 ตลาด
โดยเฉพาะ ดาวโจนส์ พุ่งขึ้นไปถึง 828 จุด และปิดที่ 30,039 จุด ค่อนข้างสูงพอสมควรสำหรับการกระฉูดขึ้นในวันเดียว...รวมทั้ง “แนสแดก” ตลาดหุ้นไฮเทคก็พุ่งปรี๊ดถึง 232 จุด
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคมบ้านเขา ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคมบ้านเรา อันเป็นวันที่ผมจะต้องเขียนคอลัมน์ซอกแซกจึงต้องปล่อยวางเอาไว้ก่อน
แต่แล้วพอมาถึงวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม ที่สหรัฐฯ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 15 ตุลาคมบ้านเรา ที่ผมจะต้องเขียนต้นฉบับวันนี้ (จันทร์ที่ 17 ต.ค.) ทุกอย่างก็กลับมาสู่ความเป็นจริง
อาการ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ของตลาดหุ้นค่อยๆหายไป กลายเป็นอาการหวาดผวาอีกครั้ง...ส่งผลให้ดาวโจนส์ลดไปวันเดียว 404 จุด และตลาดหุ้นหลักอีกตลาด “แนสแดก” ร่วงกราวถึง 328 จุด
มีข่าวดีอยู่ข่าวเดียวเท่านั้นคือข่าวราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างน่าชื่นใจถึง 3 เหรียญ 56 เซ็นต์ต่อหนึ่งบาร์เรล ที่นิวยอร์ก และ 2 เหรียญ 94 เซ็นต์ ที่ลอนดอน
ด้วยความวิตกว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างแน่นอน เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ จะต้องเหยียบเบรกแรงๆตามเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของท่านประธานกรรมการและกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯที่ประกาศจะเอาชนะ “สงครามเงินเฟ้อ” ครั้งนี้ให้ได้
เศรษฐกิจจะพังบ้าง คนจะตกงานบ้าง ก็จะต้องยอมเพราะถ้าเอาเงินเฟ้อไม่อยู่ความเสียหายจะมากกว่านั้น
ผมถึงได้บอกว่าพอกลับมาเขียนคอลัมน์วันปกติทีไร ก็มักจะห่อเหี่ยวใจอยู่เสมอๆในช่วงนี้ เพราะ “ข่าวดี” มีไม่มาก แต่ “ข่าวร้าย” มีมากมายเหลือเกิน
ที่สำคัญพายุเศรษฐกิจที่จะพัดถาโถมเข้าสู่ประเทศไทยยังน่ากลัวอยู่ครับ...ห้ามประมาทเด็ดขาดนะครับลุงตู่, ท่านรัฐมนตรีคลัง และท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย!
“ซูม”