ค่าเงินผันผวน การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

Economics

Analysis

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ค่าเงินผันผวน การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

Date Time: 11 ต.ค. 2565 09:00 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • ดีบีเอส วิคเคอร์ส ประเมินเฟดจะยังคงใช้นโยบายเข้มงวด ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี ส่งผลการบริโภคทั่วโลกชะลอ เศรษฐกิจสหรัฐฯ-ยุโรป วูบ เตือนไทยต้องระวังค่าเงินผันผวน

Latest


ดีบีเอส วิคเคอร์ส ประเมินเฟดจะยังคงใช้นโยบายเข้มงวด ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี ส่งผลการบริโภคทั่วโลกชะลอ เศรษฐกิจสหรัฐฯ-ยุโรป วูบ เตือนไทยต้องระวังค่าเงินผันผวน การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล, การเมืองระหว่างประเทศ และเทคโนโลยี เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงใช้นโยบายเข้มงวดโดยปรับขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 4.5% ปลายปี 2022 ก่อนจะหยุดขึ้น เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจส่งผลให้การบริโภคทั่วโลกชะลอตัวลง จากผลของความเข้มงวดของนโยบายการเงินและการคลัง

"เศรษฐกิจประเทศใหญ่จะถูกปรับลดจีดีพี โดย DBS Bank คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2023 โตเพียง 0.3% ยุโรปโต 1% ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นโตเร่งตัวขึ้นในปี 2023 เป็นบวก 1.8% หนุนโดยภาคบริการ หลังเปิดรับนักท่องเที่ยว ด้านเศรษฐกิจจีนโตดีขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการจัดการโควิด ส่วนกลุ่มอาเซียนยังขยายตัวดี โดดเด่นคือเวียดนาม"

ทั้งนี้ ดีบีเอส เชื่อว่าถ้าเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ก็จะเป็นแบบไม่รุนแรง (mild recession) โดยปัจจัยสนับสนุนความคิดเห็นที่สำคัญคือ ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้เปราะบางเหมือนอดีต ดูจากหนี้ครัวเรือนลดลงจากในอดีตมาก และตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง อัตราว่างงานต่ำ 3.5%

นายธนวัฒน์ กล่าวว่า อัตราการขยายตัวจีดีพีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผลตอบแทนในภาคธุรกิจ หรือ GDP growth & corporate earnings สมมติฐานว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสเข้าสู่ช่วง mild recession และจะทำให้ผลตอบแทนของ corporate ลดลงไป 6% ก็ได้สะท้อนเข้าไปในสภาวะตลาดปัจจุบันแล้ว ในขณะที่ forward PE ที่ลดลงได้เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงเริ่มเป็นจุดที่น่าสนใจในการลงทุนระยะยาว

โดยมองหุ้นกลุ่ม Luxury brands มีความน่าสนใจ แม้ว่าทิศทางการบริโภคจะชะลอลง แต่กลุ่ม Luxury จะได้แรงหนุนจากความมั่งคั่ง หรือ wealth ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เช่น กลุ่ม millennial และกลุ่มชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น เช่นในจีน รวมทั้งสามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังลูกค้าได้

ขณะที่ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ชอบกลุ่ม Medical devices ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวสูงจากนวัตกรรมใหม่ๆ และ ageing population กลุ่ม Healthcare มีลักษณะเป็น defensive growth คือเป็นทั้ง defensive และยังมี growth ในระยะยาว กลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ (medical devices) มีแนวโน้มขยายตัวสูงจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และการขยายจำนวนเตียงในเอเชียเช่นจีน

"การลงทุนในหุ้น คงต้องรอจังหวะผลตอบแทนพันธบัตร ถึงจุดพีก เมื่อ Fed ส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่ม growth โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี ดีบีเอส แนะเพิ่มน้ำหนักหุ้นในตลาดอาเซียนและญี่ปุ่น แต่ยังคงปรับลดน้ำหนักหุ้นยุโรป"

ส่วนตลาดตราสารหนี้มองอัตราผลตอบแทน หรือ yield ทั่วโลกที่ปรับสูงขึ้น ตราสารหนี้ระดับลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วมีความน่าสนใจ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจเลือกตราสารหนี้กลุ่ม high yield ในตลาดพัฒนาแล้วเข้าพอร์ตบางส่วน เพื่อดึง yield พอร์ตขึ้น

อย่างไรก็ตามยังต้องระวังความเสี่ยงจากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน, การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล, การเมืองระหว่างประเทศ, เทคโนโลยี, สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม, การลงทุนในอุตสาหกรรมเฉพาะมีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดโดยรวม

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้น Q4/65 ได้รับปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีเกินคาด โดยประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยปีนี้มีโอกาสทะลุ 10 ล้านคน

รวมทั้งจะมีเม็ดเงินลงทุนบางส่วนไหลจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ที่มีฐานะการคลังที่แข็งแรงและเศรษฐกิจฟื้นตัวดี ซึ่งไทยน่าจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการลงทุน ถ้าไม่มีปัญหาการเมืองรุนแรง โดยบริษัทตั้งเป้าหมายดัชนีปีนี้ไว้ที่ระดับ 1680 จุด และเป้าหมายดัชนีปีหน้าที่ระดับ 1,750-1,800 จุด

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนก็คือ ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรปในช่วงครึ่งหลังปี 2022 และปี 2023 ที่มีความเสี่ยงชะลอตัว ไปจนถึงการถดถอย นอกจากยังได้รับผลกระทบจากราคาพลังงาน ธัญพืช และอาหาร ที่มีโอกาสพุ่งขึ้นรอบใหม่ จากปัจจัยฤดูหนาวและผลกระทบจากปัญหาสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ส่งผลให้วิตกเงินเฟ้อสูงอีกรอบ

ขณะเดียวกันดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างเร่งตัวในช่วงที่เศรษฐกิจเปราะบาง ทำให้มีความเสี่ยง NPL สูงขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะปรับตัวสูงสุด ในช่วง 3Q/65 ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานจะสูงสุดใน 4Q/65

นางสาวอาภาภรณ์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยภาคการส่งออกช่วง 8 เดือนของปี 2022 เติบโต 11% ขณะที่ขาดดุลการค้าสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะเดือนสิงหาคม 2022 ขาดดุล 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลมาจากการนำเข้าสินค้าพลังงานที่มีราคาสูง ซึ่งแม้ภาคการท่องเที่ยวของไทยจะฟื้นตัวแต่อาจไม่สามารถชดเชยการขาดดุลการค้าในปีนี้ ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ทั่วถึง (เป็น K Curve) สำหรับการเมืองไทย การชุมนุมประท้วงเริ่มกลับมาหลังโควิดคลี่คลาย แต่ถ้าไม่มีปะทะรุนแรง ก็กระทบไม่มาก

ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมและหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่ง สามารถฝ่าด่านดอกเบี้ยสูงในภาวะเศรษฐกิจชะลอได้ ที่โดดเด่นคืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวส่งสัญญาณการฟื้นตัว คาดว่าในปีนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้า 10-11 ล้านคน และปี 66 จำนวน 16 ล้านคน หุ้นที่ได้ผลบวกคือ CENTEL ราคาเป้าหมาย 55 บาท ธุรกิจโรงแรมและอาหารฟื้นตัวสดใส

ส่วนอุตสาหกรรมส่งออกเป็นแรงหนุนที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย สินค้าส่งออกที่โตต่อเนื่อง คือ อาหาร, เกษตรอุตสาหกรรม, สินค้าอุตสาหกรรม โดยมีปัจจัยหนุน จากเงินบาทอ่อนค่า, ค่าขนส่งทางเรือลดลง หุ้นที่น่าสนใจคือ TU มองราคาเป้าหมายเหมาะสมที่ 22.60 บาท มีแนวโน้มกำไรจะดีกว่าคาดการณ์ไว้ รวมทั้งยังได้รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ยอดขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มีการปรับประมาณการปีนี้เพิ่ม 17% และปี 66 เพิ่ม 3%

นายสมบัติ กล่าวถึงอุตสาหกรรมสื่อสารจากกระแสการควบรวมและซื้อกิจการ หรือ M&A เป็นการโตทางลัดผสานเทคโนโลยีและประหยัดต้นทุน ในส่วนของกระแส Digital Transformation ก็ทำให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก โดยหุ้น ADVANC โดดเด่นจากการได้ TTTBB และ JASIF ถือเป็นก้าวสำคัญในธุรกิจบรอดแบนด์ หรือเน็ตบ้าน จะได้ลูกค้าเพิ่มอีกถึง 2.5 ล้านราย

ในอนาคตสามารถระดมทุนผ่าน JASIF และยังได้แบรนด์ 3BB ที่แข็งแกร่งเพิ่ม รวมถึงได้ทีมขายและทีมติดตั้ง FBB มีความเชี่ยวชาญ และเข้าถึงโครงข่ายบรอดแบนด์ที่ครอบคลุมมากขึ้น ราคาเป้าหมาย 250 บาท ด้านอุตสาหกรรมการแพทย์มีแนวโน้มดีจากคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้น หลังโรคโควิดคลี่คลาย หุ้นที่เด่น BDMS ได้ปัจจัยบวกจากคนไข้ต่างประเทศ ราคาเป้าหมาย 33 บาท

นายสมบัติ กล่าวถึง อุตสาหกรรมนิคมอุตสาหกรรม มีฟื้นตัวดีตามการเปิดเมืองช่วง 8 แรกของปีนี้ นักลงทุนหลักมาจาก ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, USA และยังมีรายได้ค่าเช่า-บริการ และสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำอุตสาหกรรม และค่าไฟฟ้า ช่วยลดความเสี่ยงธุรกิจ การลงทุนในโลกอนาคต นิคมฯ จะมีบทบาทสำคัญ เช่น รถยนต์ EV, E-Commerce, Digital Platform, ROBOT

ขณะที่รัฐบาลเร่งส่งเสริมการลงทุน เช่น เขต EEC จะกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว, มูลค่าที่ดินเพิ่ม และมองว่าหุ้น WHA โดดเด่นอุตสาหกรรมขนส่งกลับมาปกติ ส่งผลดีต่อธุรกิจสายการบิน สนามบิน รถไฟฟ้า รถยนต์เช่า ทางด่วน และมอเตอร์เวย์ ฟื้นตัว แต่เรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ เรือเทกองเกี่ยวกับการส่งออก ค่าระวางเรือกลับอ่อนลง

เพราะสู่ภาวะการค้าปกติ มีการเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ประมูลรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า รถไฟฟ้าไทย-จีน ก็จะมีผลดีในระยะยาว โครงการขนาดใหญ่จะเปิดให้บริการปีหน้า เช่น รถไฟฟ้าสายสีชมพู เหลือง และมีความคืบหน้าโครงการสนามบินต่างๆ แนะนำหุ้น BEM ราคาเป้าหมาย 10.40 บาท ส่วนอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง คาดจะมีการประมูลงานขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น Backlog จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นในกลุ่มแนะนำ CK ราคาเป้าหมาย 25 บาท

นายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางหลักของตลาดฯ ในไตรมาส 4/65 ยังคงผันผวน และอ่อนตัวลงเป็นหลัก หากจะมีการปรับขึ้น ก็อาจมีได้

แต่จะเป็นไปในลักษณะของการรีบาวด์ฯทางเทคนิคเท่านั้น จากนั้นก็จะเป็นการอ่อนตัวลงต่อ โดยคาดการณ์ว่าดัชนีน่าจะมีการปรับลงเพื่อทดสอบแนวรับ (ย่อย) ที่ระดับ 1,520-1,500 หรือ 1,450 (1,400) จุด แล้วจึงจะเปลี่ยนทิศทาง (หรือรีบาวด์ฯ) อีกครั้งตามมา

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนี SET50 จะมีการรีบาวด์ โดยระวังแนวต้าน 963-973 และ 970-980 หากยังไม่ผ่านระวังการลงรอบใหม่ การลงหลุด 930 จะเป็นสัญญาณลงต่อมีแนวรับถัดไป 900-875

ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 2 ปี พีกช่วงเข้าใกล้ DotPlot เฟดที่ 4.4%-4.6% ตลาดรับรู้เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยไประดับหนึ่ง Yield ลง หุ้นเด้งสั้นได้เป็นระยะๆ แต่ตลาดหุ้นที่จะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ นโยบายการเงินจะใช้เวลามากกว่า 6 เดือนจึงจะเห็นผล ระยะกลางหุ้นยังต้องระมัดระวัง

สำหรับทิศทางทองคำ มีแนวโน้มกลับมาทะลุ 1,680-1,700 แนวต้านที่แข็งแกร่งได้ มีแรงส่งต่อ แต่ช่วงสั้นก็จะมีแนวต้านที่ 1,735-1,750 และ 1,800 ที่ทำให้ชะลอตัวลง หากยังเป็นบวกต้องไม่กลับไปหลุดต่ำกว่า 1,680 อีกมิฉะนั้นมีโอกาสทำจุดต่ำสุดใหม่ ค่าบาท หากการพักฐานต้องไม่หลุด 37+/-0.2 จึงจะขึ้นใหม่ และแนวต้านถัดไป 39.5-40 หากหลุดต่ำกว่าเปลี่ยนแนวโน้มเป็นแข็งค่า.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์