ในขณะที่ทั่วโลกกำลังผวากับคำแถลงของ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าเงินเฟ้อในสหรัฐฯจะลดลงสู่ระดับ 2% โดยไม่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างทาง แม้การขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย ทำให้มีคนตกงานมากขึ้น ทำให้บริษัทเจ๊งกันมากมาย ทำให้ทุกครัวเรือนต้องเจ็บปวด มีภาระต้องจ่ายหนี้มากขึ้นจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่ เศรษฐกิจไทยเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ยังมีการเติบโตได้ดี แม้การลงทุนของภาคเอกชนจะลดลงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ที่น่าปลื้มใจก็คือ รายได้ที่แท้จริงของเกษตรกรเพิ่มขึ้นถึง 10.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
การท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวต่อเนื่อง เดือนกรกฎาคม มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 1.12 ล้านคน เติบโต 6,126.3% เทียบกับปีก่อน นักท่องเที่ยวคนไทยก็เดินทางท่องเที่ยวกันกว่า 16.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1,818.6% จากปีก่อน
ตัวชี้วัดที่สำคัญอีกตัวหนึ่งคือ ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผ่านการเสียภาษีให้รัฐบาลมาแล้ว ครึ่งปีแรก 2565 ที่ผ่านมา คุณแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) 759 บริษัท (96.7%) จาก 785 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ SET และ mai (ไม่รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2565 พบว่ามีกำไรสุทธิถึง 586 บริษัท
บจ.ใน SET มียอดขายรวมกว่า 8.6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ทำให้มีกำไรสุทธิ 596,638 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.92% แต่อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยเหลือ 12.5% จาก 13.2% ในปีก่อน และอัตรากำไรสุทธิลดเหลือ 6.9% จาก 8.5% ปีก่อน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.59 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.53 เท่าในปีก่อน
คุณประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ก็เปิดเผยถึงผลดำเนินงาน บจ.เอ็มเอไอ 181 บริษัท จาก 188 บริษัท ในรอบ 6 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 127 บริษัท คิดเป็น 70% ของบริษัทที่ส่งงบการเงิน มียอดขายรวม 99,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% ต้นทุนขาย 79,365 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.2% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 20.6% จาก 23.9% ในปีก่อน กำไรจากการดำเนินงาน 5,021 ล้านบาท ลดลง 3.6% กำไรสุทธิรวม 4,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4%
ปีที่แล้วไทยยังไม่เปิดประเทศ บริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ มียอดขายรวมกว่า 13.13 ล้านล้านบาท มีกำไรสุทธิรวมกว่า 9.86 แสนล้านบาท ถือว่าฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ แต่ปีนี้ 2565 แค่ 6 เดือนแรกยอดขายรวมก็สูงถึง 8.6 ล้านล้านบาท ยอดขายรวมทั้งปีน่าจะไม่น้อยกว่า 17.2 ล้านล้านบาท เท่ากับจีดีพีประเทศพอดี ปีนี้ยังมีการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว แม้จะมีการเมืองและรัฐบาลเป็นตัวถ่วงก็ตามที
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นภาพสะท้อนเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทเอกชน และรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขอเพียง ภาครัฐทุจริตให้น้อยลง เปิดกฎหมายให้เอกชนทำธุรกิจได้เสรีมากขึ้น ไม่ต้องขอใบอนุญาตจากรัฐทุกอย่าง ประเทศไทยจะไปได้ดีกว่านี้แน่นอน
EEC ก็เป็นบทเรียนที่ดี มีแต่โครงการและตัวเลขบนแผ่นกระดาษ แต่การลงทุนจริงยังไม่เกิด ขณะที่ เวียดนาม เพื่อนบ้านไทยไปโลดแล้ว เวียดนามผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้เอง ส่งออกไปขายอเมริกายุโรปแล้ว ไทยยังวิ่งขอต่างชาติให้มาลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอยู่เลย.
“ลม เปลี่ยนทิศ”