เศรษฐกิจโลกผันผวนหนัก ไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ พยุงเงินบาทอ่อนค่า

Economics

Analysis

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

เศรษฐกิจโลกผันผวนหนัก ไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ พยุงเงินบาทอ่อนค่า

Date Time: 25 ก.ค. 2565 14:05 น.

Video

เศรษฐกิจไทย เสี่ยงวิกฤติหนักแค่ไหน เมื่อต้องเปลี่ยนนายกฯ | Money Issue

Summary

  • กอบศักดิ์ ประเมินเศรษฐกิจโลกผันผวนหนัก เกิดวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งพลังงาน-อาหาร เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น มองไทยเตรียมขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง อีก 3 ครั้ง รวม 0.75% ไปอยู่ที่ 1.25% ในปลายปี 65 นี้

Latest


กอบศักดิ์ ประเมินเศรษฐกิจโลกผันผวนหนัก เกิดวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งพลังงาน-อาหาร เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น มองไทยเตรียมขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง อีก 3 ครั้ง รวม 0.75% ไปอยู่ที่ 1.25% ในปลายปี 65 นี้

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีปัญหาในลักษณะวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลถึงวิกฤติด้านราคาพลังงานและวิกฤติอาหารโลก อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก

นอกจากนี้ยังเป็นแรงกดดันสำคัญให้ธนาคารกลางในประเทศต่างๆ ต้องเร่งพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นำโดยธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ที่ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึง 3.80% เป็นอย่างน้อย เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาสภาพคล่องจำนวนมากที่เคยอัดฉีดเข้ามาก่อนหน้านี้ด้วยการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ

ทั้งนี้ จึงส่งผลต่อความผันผวนของราคาสินทรัพย์และตลาดการเงินโลก ขณะเดียวกัน การขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งกระทบกับเศรษฐกิจในตลาดที่เพิ่งเกิดใหม่ หรือ Emerging Market โดยเฉพาะประเทศที่มีภาระหนี้ต่างประเทศค่อนข้างสูง ดังที่เริ่มเห็นสถานการณ์ในศรีลังกา สปป.ลาว และเมียนมา จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจติดลบ หรือ Recession ได้ในระยะ 1-2 ปีนี้

สำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะนี้ เรามองว่า แม้จะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการโควิด ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว แต่ยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้ราคาสินค้าและต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ภาคการส่งออกเริ่มเติบโตชะลอลงจากกำลังซื้อของประเทศปลายทาง

โดยเฉพาะความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่กระทบต่อภาคการลงทุนและอัตราแลกเปลี่ยน จึงประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.น่าจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ครั้งละ 0.25% ในการประชุม กนง. ปีนี้ที่ยังเหลืออีก 3 ครั้ง ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทยอยปรับขึ้นจากปัจจุบันที่ 0.50% ไปเป็น 1.25% ในช่วงปลายปี 65 นี้

นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก อยู่ที่ 0.50% มาเป็นระยะเวลานาน เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงการระบาดของโควิด เมื่อเทียบกับช่วงที่เคยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในรอบที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยนโยบายในเวลานั้นยังอยู่ที่ 1.25%

ดังนั้น ตอนนี้ปัจจัยเรื่องโควิด-19 เริ่มคลายลงแล้ว เศรษฐกิจเริ่มฟื้นคืน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันปัจจัยใหม่ที่เข้ามามีน้ำหนักมากขึ้นแทน คือ อัตราเงินเฟ้อสูง ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงค่อนข้างมาก และเงินสำรองระหว่างประเทศที่เริ่มลดลงมาพอสมควร จึงน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

สำหรับสถานการณ์ความผันผวนในตลาดการเงินโลก รวมถึงภาวะเศรษฐกิจติดลบ จะยังคงดำเนินไปอีกระยะหนึ่ง อาจเกิดผลกระทบเป็นระลอก ซึ่งประเทศไทยยังมีเวลาเตรียมตัวอีกประมาณ 1 ปี เพื่อตั้งรับสถานการณ์ดังกล่าว โจทย์สำคัญคือ ต้องมองหาเครื่องยนต์เศรษฐกิจชุดใหม่เข้ามาทดแทนภาคการส่งออก การบริโภคในประเทศ และไทยเที่ยวไทย ที่ไม่น่าจะมีกำลังมากพอแล้ว

ทั้งนี้ เราแนะนำให้โฟกัสที่ภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่กำลังเติบโตขึ้น การลงทุนโครงสร้างพื้นที่อนุมัติมาก่อนหน้านี้แล้ว ควรขับเคลื่อนและดำเนินการลงทุนอย่างจริงจัง รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ Foreign Direct Investment ที่มองว่าอาเซียนน่าจะเป็นพื้นที่ที่มีความน่าสนใจมากสำหรับนักลงทุนที่กำลังหาทางเลือกอื่น นอกเหนือจากจีนและยุโรปที่กำลังมีปัญหา.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์