สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ประเมินเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง 65 ฟื้นตัวต่อเนื่อง

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 65 จะฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการบริโภคภาคเอกชนหนุน

เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 65 ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาส 4/68 เราคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างชัดเจน

โดยมีแรงผลักดันจากภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ในขณะที่การส่งออกยังคงแข็งแกร่ง และการบริโภคภาคเอกชนดีขึ้นต่อเนื่อง มุมมองบวกดังกล่าวถือว่าต่างจากสองปีที่แล้วในช่วงโควิด

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ต้องจับตามองในขณะนี้ คือเงินเฟ้อจะมีผลต่อการบริโภคไหม เราไม่อยากให้การบริโภคซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยสะดุดลง ทั้งนี้เพื่อความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะเติบโต 3.3% และ 4.5 ในปี 66 โดยการฟื้นตัวจะชัดเจนตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ความผันผวนในตลาดการเงินก็ยังน่าจะยังสูงอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว

ตลาดการเงินโลกผันผวนไปอีก 2-3 เดือน คาดดอลลาร์ต่อบาท อยู่ที่ 33 ปลายปี 2565 ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องในการประชุมเดือนกรกฎาคม และก.ย. และการขึ้นแต่ละครั้ง น่าจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยที่ค่อนข้างมาก

"การขึ้นดอกเบี้ยอย่างมากและอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท และจะยิ่งทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยกับสหรัฐฯ ห่างมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ตลาดการเงินน่าจะยังคงอยู่ในภาวะผันผวนไปอีกระยะหนึ่ง เรายังไม่เห็นเฟดเริ่มส่งสัญญาณการชะลอการขึ้นดอกเบี้ย"

ดร.ทิม กล่าวอีกว่า ในส่วนของประเทศไทย คาดว่า กนง. จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาสนี้ โดยขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกัน 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปอยู่ที่ร้อยละ 1.25 ก่อนสิ้นปีนี้ จาก 0.50% ในปัจจุบัน การประชุมนัดพิเศษนอกจากการประชุมรอบปกติ ก็อาจเป็นไปได้

ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และเงินเฟ้อในประเทศที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แม้กระนั้น หลังจากการขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกันในประเทศในปีนี้ ทำให้ในปีหน้า กนง. อาจพักการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อตามดูเศรษฐกิจก่อนก็เป็นได้

ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7 ซึ่งสูงกว่ากรอบเงินเฟ้อ ธปท. ซึ่งตั้งไว้ที่ร้อยละ 1-3 จึงเป็นคำถามว่า ธปท. จะปรับกรอบเงินเฟ้อต่อปีในช่วงต้นปีหน้าไหม นอกจากนี้ เมื่อเศรษฐกิจกำลังค่อยๆ ฟื้นตัว เราเชื่อว่านักลงทุนน่าจะสนใจว่าหนี้สาธารณะของประเทศจะเริ่มลดลงบ้างไหม จากที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 60% ของจีดีพีในขณะนี้ เทียบกับ 40% ช่วงก่อนการระบาดของโควิด.