นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปประเมินสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงพิจารณาความจำเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจว่ายังมีความจำเป็นอีกหรือไม่ หากจำเป็นใช้มาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ต้องหาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ด้วย โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการกู้เงิน เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว มีการใช้จ่ายเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทำให้รัฐจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น ต้องรอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจอีกครั้ง และปล่อยให้เป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจ
“กรณีข่าวที่ออกมาระบุว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังหาแหล่งเงินกู้ และผลักดันโครงการ “คนละครึ่งเฟส 5” นั้น อาจเป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะจากการพูดคุยกัน คือ ให้กระทรวงการคลัง ไปพิจารณาแหล่งเงิน นำมาใช้จ่ายในโครงการที่มีความจำเป็น ซึ่งไม่ได้พุ่งเป้าที่จะกู้เงิน ขณะนี้เรากู้เงินเยอะแล้ว 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งหากจำเป็นต้องกู้เงิน ก็ต้องดูวินัยการเงินการคลังด้วย และดูรายได้รายจ่ายสอดคล้องกันหรือไม่อย่างไร ส่วนการใช้จ่ายเงินกู้ ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท นั้น ขณะนี้ยังกู้ไม่หมด เหลืออีก 70,000 ล้านบาท ซึ่งจะกู้ต่อเมื่อมีความจำเป็นใช้เงิน จะไม่กู้มารอไว้”
นายอาคม กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจหลายๆประเทศ เริ่มเข้าสู่การฟื้นตัวตามปกติแล้ว ซึ่งเน้นการลงทุน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เช่นเดียวกับประเทศไทยเน้นการลงทุน การเบิกจ่ายเงินลงทุนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและประชาชนกลับมามีรายได้ เช่น ภาคธุรกิจท่องเที่ยวมีคนเกี่ยวข้อง 40 ล้านคน 2 ปีที่ผ่านมา ตกงานกันเกือบหมด แต่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มฟื้น รายได้เริ่มกลับมา ระดับการบริโภคของประชาชนเริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่เต็มที่ ดังนั้น ต้องใช้เวลากว่ารายได้จะกลับสู่ภาวะปกติก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด ส่วนโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 นั้น ยังต้องพิจารณาว่ามีความจำเป็นอีกหรือไม่ เนื่องจากเป็นมาตรการที่ใช้งบประมาณสูง.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง