หลังจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือ ศบค. ได้ผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศโดยยกเว้นการตรวจ RT-PCR ที่ต้นทางตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 65 เป็นต้นมา ทำให้ผู้โดยสารที่เดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น
โดยที่ผ่านมา พบว่า มีผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มขึ้นจากประมาณวันละ 6,000–7,000 คน เป็นวันละ 9,000–10,000 คน จึงทำให้เราเห็นภาพว่า มีผู้โดยสารคับคั่งบริเวณจุดนัดหมายระหว่างผู้โดยสารกับโรงแรมที่บริเวณห้องโถงผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 05.00–07.00 น. และ 12.00–15.00 น. โดยมีจำนวนผู้โดยสารในช่วงเวลาดังกล่าวประมาณ 1,500–2,000 คนต่อชั่วโมงเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 3,000 คนต่อชั่วโมง ตามมาตรการการคัดกรองด้านสาธารณสุขในปัจจุบันเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
โดยมีการขยายพื้นที่จัดตั้งเคาน์เตอร์บริเวณจุดนัดหมายระหว่างผู้โดยสารกับโรงแรมเพิ่มเติม จากเดิม 8 เคาน์เตอร์ เป็น 17 เคาน์เตอร์ พร้อมทั้งกำหนดให้ติดป้ายแสดงชื่อโรงแรมเรียงตามตัวอักษรเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการเข้ารับบริการของผู้โดยสาร
สำหรับผู้ที่จะต้องเดินทางเข้าประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างชาติจะต้องผ่านการ Test and Go โดยต้องแจ้งหลักฐานการตรวจเชื้อโควิด-19 และกักตัวในการเดินทางวันแรก ณ โรงแรม SHA Extra+/AQ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ลงทะเบียนก่อนเดินทางล่วงหน้า 7 วัน ในระบบ Thailand Pass
2. เตรียมเอกสารให้พร้อม ชาวต่างชาติมีประกันสุขภาพวงเงิน 20,000 USD (คนไทยไม่ต้องใช้เอกสารประกันสุขภาพ)
3. จองโรงแรมที่พัก SHA Extra+/AQ ในวันเดินทางวันแรกที่ถึงประเทศไทย และตรวจโควิด-19 ครั้งที่ 1 ด้วยวิธี RT-PCR และตรวจโควิด-19 ครั้งที่ 2 ด้วยตัวเอง โดย ATK ที่โรงแรมจัดไว้ให้ และรายงานผลตามช่องทางกระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้นั่นเอง
ส่วนการเดินทางออกจากประเทศไทยนั้น จะต้องเช็กข้อมูลจากประเทศปลายทางก่อนว่าต้องลงทะเบียนอย่างไร ต้องซื้อประกันสุขภาพ รวมไปถึงขั้นตอนการตรวจโควิดก่อนเข้าประเทศนั้นๆ อีกด้วย
สำหรับการเดินทางในประเทศทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง รวมถึงสนามบินอื่นๆ มีข้อแนะนำดังนี้
1. ตรวจสอบมาตรการของจังหวัดปลายทางที่จะเดินทางไป เช่น เราจะไปจังหวัดน่าน พอตรวจสอบแล้วว่า ผู้เดินทางเข้าจังหวัดจะต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 2 เข็มขึ้นไป
2. ก่อนเดินทางควรตรวจ ATK ด้วยตนเองก่อน และถ่ายรูปเอาไว้เพื่อความอุ่นใจ แม้ตอนนี้หลายสายการบินจะไม่มีการขอดูผลตรวจ ATK ก็ตาม แต่เพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อสังคม ก็ควรจะตรวจไว้อุ่นใจตัวเราเอง และเพื่อนร่วมทาง
3. ควรโหลดแอปพลิเคชัน ไทยชนะ หมอพร้อม ติดไว้ในโทรศัพท์เพื่อความสะดวกในการเดินทาง หากสายการบิน หรือท่าอากาศยานต้องการขอดูประวัติการฉีดวัคซีน
4. ปัจจุบันสายการบินในประเทศยังไม่พร้อมให้บริการอาหารบนเครื่องบิน ฉะนั้นควรรับประทานอาหาร และน้ำดื่มให้พร้อมก่อนขึ้นเครื่อง
5. การนำเจลล้างมือ หรือแอลกอฮอล์ขึ้นเครื่องบินนั้นสามารถทำได้แต่ต้องมีปริมาณความจุไม่เกิน 350 มิลลิลิตร หรือ 12 ออนซ์ และต้องมีปริมาณรวมกัน ทั้งของเหลว เจล สเปรย์อื่นๆ สูงสุดได้ไม่เกินคนละ 1,000 มิลลิลิตร ซึ่งเราแนะนำให้ใส่ถุงซิปล็อกมาด้วยจะดีมาก
แต่ถ้าหากเป็นการโหลดใต้เครื่องบินนั้น ปริมาณความจุไม่เกิน 500 มิลลิลิตร หรือ 17 ออนซ์ มีปริมาณรวมกัน หรือรวมกับของเหลว เจล สเปรย์อื่นๆ สูงสุดได้ไม่เกินคนละ 2,000 มิลลิลิตร แต่ต้องมีปริมาตรรวมกันสูงสุดคนละไม่เกิน 2 ลิตร หรือ 2,000 มิลลิลิตร แนะนำให้ใส่ถุงซิปล็อกอีกเช่นกัน
6. หากจะขึ้นเครื่องต้องใช้ตั๋วโดยสาร หรือ Boarding Pass ที่เป็นกระดาษเท่านั้น โดยเราสามารถขอตั๋วโดยสารแบบกระดาษได้ที่เคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบินนั้นๆ หรือจะเป็นตู้เช็กอินอัตโนมัติ (self check-in kiosk) หรือหากไม่แน่ใจก็สามารถสอบถามไปยังสายการบินที่เราจะใช้บริการเพื่อความสะดวกก่อนเดินทาง