ดร.ฐิติมา ชูเชิด ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
จากสถานการณ์รัสเซียบุกยูเครนที่ปะทุขึ้น สหรัฐฯจับมือชาติพันธมิตรยกระดับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและควบคุมการส่งออกนำเข้าสินค้าบางชนิดกับรัสเซีย นอกจากนี้ ยังคว่ำบาตรธนาคารกลางรัสเซีย และตัดธนาคารรัสเซียออกจากเครือข่ายการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ (ระบบ SWIFT)
รัสเซียก็ตอบโต้ด้วยการขู่ว่าจะไม่ส่งออกพลังงานให้เพราะถือว่าเป็นผู้ผลิตหลักของโลกอยู่ ประเทศแถบยุโรปจะได้รับผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานมากที่สุด เพราะพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียสูงถึง 40% ของความต้องการใช้ ซึ่งต้องนำเข้ามากถึง 90% บางขุนพรหม ชวนคิดวันนี้ขอชวนผู้อ่านมาจับตาผลของสงครามรัสเซีย-ยูเครนต่อโอกาสเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดกันค่ะ
สหภาพยุโรปจึงเร่งหาทางแก้สถานการณ์กดดันต่อความมั่นคงทางพลังงาน เมื่อวันที่ 8 มี.ค.65 คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) เปิดเผยถึงแผน REPowerEU เพื่อลดผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงและการขาดแคลนแหล่งพลังงาน รวมถึงตั้งเป้ายุติการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียภายในปี 2030 พอจะสรุปได้ดังนี้
1.แผนเร่งด่วน ช่วยบรรเทาราคาขายปลีกน้ำมันและช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยใช้กลไกคุมราคาและให้เงินโอนชั่วคราว เพื่อบรรเทาภาระรายจ่ายพลังงานของครัวเรือนรายได้น้อย เกษตรกร และธุรกิจขนาดเล็ก พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนใช้พลังงานมีประสิทธิภาพขึ้น นอกจากนี้ จะเร่งจัดหาพลังงานให้พอใช้ในช่วงฤดูหนาว โดยประกาศให้ทุกประเทศเตรียมสะสมพลังงานให้พร้อมเผื่อกรณีเลวร้ายที่ไม่อาจนำเข้าพลังงานจากรัสเซียได้เลย ซึ่งแต่ละประเทศจะต้องสำรองพลังงานให้ได้อย่างน้อย 90% ของศักยภาพการจัดเก็บภายในวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี และสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจเร่งจัดหาพลังงานล่วงหน้าโดยให้คืนภาษีนำเข้าได้ 100%
2.แผนลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลจากรัสเซียภายในปี 2030 โดยกระจายแหล่งจัดหาก๊าซผ่านการนำเข้า LNG และท่อส่งก๊าซจากผู้ผลิตรายอื่น เพิ่มการผลิตพลังงาน biomethane และ renewable hydrogen ทดแทน และลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลในระดับครัวเรือน อาคาร ภาคอุตสาหกรรม และประเทศ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเร่งกระบวนการออกใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เร็วขึ้นอีก
หันมามองไทยเราก็นำเข้าน้ำมันดิบสุทธิสูงถึง 90% แม้จะนำเข้าโดยตรงจากรัสเซียไม่มากเท่ายุโรป แต่คนไทยก็ต้องเผชิญผลกระทบจากสงครามที่ทำให้ราคาโภคภัณฑ์โลกสูงส่งผ่านไปต้นทุนพลังงานและการผลิต ทำให้ราคาข้าวไทยแพงขึ้นอยู่ดี
แม้ไทยจะมีกลไกอุดหนุนราคาพลังงานจากภาครัฐลดผลกระทบได้บ้าง แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและช่วยเหลือวงกว้าง ซึ่งไม่ยั่งยืนและสร้างภาระการคลังสูงในยามที่กำลังเงินภาครัฐมีจำกัดและยังต้องเผื่อรับมือกับศึกโควิด-19 ต่ออีก ที่สำคัญวิธีนี้ไม่จูงใจให้ประชาชน ธุรกิจ รวมถึงภาครัฐเองเร่งปรับตัวตามสถานการณ์ทวนกระแสโลกาภิวัตน์ที่หลายประเทศพยายามลดการพึ่งพาระบบพลังงานโลก หันมาผลิตพลังงานทดแทนขึ้นเอง เพื่อสร้างความมั่นคงและเป็นอิสระทางพลังงาน
ไทยจึงควรมองโอกาสนี้มุ่งเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาดในระยะยาว ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล เข้าสู่วิถีลดโลกร้อน เช่นที่หลายประเทศใหญ่กำลังเร่งเดินเครื่องเต็มสูบได้ทันกาล และผู้ผลิตไทย
ส่วนหนึ่งก็อาจโดนหางเลขจากมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่
แรงขึ้นจากการส่งออกค้าขายกับประเทศนั้นๆ ตามไปด้วยก็เป็นได้ค่ะ.