สุพริศร์ สุวรรณิก สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Adam Smith บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ ได้เคยกล่าวไว้ในหนังสือ “The Wealth of Nations” ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1776ว่า แรงงานมีความหมายที่กว้างขวางไปกว่าการเป็นเพียงกำลังทางกายภาพ แต่แรงงานคือ “ทุนมนุษย์” (human capital) โดย Lynda Gratton และ Sumantra Ghoshal ได้ให้ความหมายว่า ทุนมนุษย์คือส่วนผสมสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ทุนทางปัญญา (intellectual capital)อาทิ ความรู้ ประสบการณ์ที่คนสะสมไว้ รวมทั้งความรู้ที่อยู่ในตัวของแต่ละบุคคล (tacit knowledge) ทุนทางสังคม (social capital) อาทิ เครือข่ายความสัมพันธ์ และ ทุนทางอารมณ์ (emotional capital) คือคุณลักษณะต่างๆ เช่น การทนทานต่อความเปลี่ยนแปลง (resilience) ทุนมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการเพิ่มผลผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจและสังคม
ดังนั้น นอกจากการลงทุนในการศึกษาที่มีคุณภาพ เช่น การเรียนในชั้นเรียน การฝึกอบรมทักษะเฉพาะตามเส้นทางอาชีพแล้ว การลงทุนผ่านการศึกษาที่ไม่ได้จำกัดอยู่ในรูปแบบ เช่น การถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ที่สะสมไว้ในตัว โดยเฉพาะ tacit knowledge จากผู้มีประสบการณ์มากกว่า รวมถึงการถ่ายทอดคุณลักษณะที่เอื้อให้เกิดผลที่ดีต่อสังคมส่วนรวม ย่อมสร้างคนให้เป็น “ทุนมนุษย์” ที่มีคุณค่า สร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจ สังคม และองค์กรได้อย่างมหาศาล
ทั้งนี้ หนึ่งในกระบวนการสร้างทุนมนุษย์ที่ไม่ได้จำกัดเป็นการศึกษาที่อยู่ในรูปแบบคือ “mentorship program” ซึ่งผู้เขียนโชคดีที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมและสัมผัสประสบการณ์โดยตรงในทั้ง 3 บทบาท คือการเป็น mentor (พี่เลี้ยง) mentee (น้องเลี้ยง) และ organizing committee (ผู้จัด)
Mentorship program คือ กระบวนการเสริมสร้างปัญญาด้วยการสร้างมุมมองสะท้อนย้อนคิด (reflection) และการถ่ายทอดความรู้ แนวคิด มุมมอง ทักษะ ตลอดจนประสบการณ์ที่สะสมมาและมีคุณค่า จากผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์สูงกว่า (mentor) ให้แก่ผู้ที่มีน้อยกว่า (mentee) โดยส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นแบบไม่เป็นทางการ แต่จัดให้มีช่วงเวลาพบเจอเพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ (mentoring session) เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เช่น 1 ครั้งต่อเดือน ซึ่งช่วยให้ mentee ได้เรียนรู้โดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องงาน แต่รวมถึงการใช้ชีวิต วิธีคิดหรือทางเลือกในการจัดการกับปัญหาที่หลากหลายขึ้น
ทั้งนี้ ในบริบทสากล mentorship program เป็นแนวคิดที่ถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก สำหรับประเทศไทยเอง mentorship program ได้เริ่มเข้ามาดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในระดับมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 นั่นคือ โครงการ ChAMP (ChulalongkornAlumni Mentorship Program) ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ และเริ่มขยายไปสู่มหาวิทยาลัยอื่นๆด้วย เช่น ธรรมศาสตร์ (TBS-AIM) เกษตรศาสตร์ (KAMP-Engineering) นอกจากนี้ ยังมีให้เห็นในระดับประเทศอีกด้วย เช่น โครงการ IMET MAX
ผู้เขียนมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า แนวคิดการพัฒนาทุนมนุษย์ด้วยการเรียนรู้แบบ mentorship จะแพร่หลายต่อเนื่อง และช่วยสร้างกำลังแรงงานให้เป็นทุนมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีคุณค่า สร้างมูลค่าเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศและโลกต่อไปครับ.