เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา “ไทยรัฐ กรุ๊ป” และกระทรวงคมนาคม ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “Thailand Future Smart & Sustainable Mobility ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ณ ห้องอีเทอร์นิตี้ บอลรูม โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์
โดยเนื้อหาในงานสัมมนาได้ก่อให้เกิดความชัดเจนถึง “ความคืบหน้าของโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั้งหมด” ภายใต้การขับเคลื่อนของ “กระทรวงคมนาคม” รวมทั้งให้คำตอบที่ประชาชนคนไทยตั้งตารอที่จะรู้ว่า “คนไทยจะได้ประโยชน์อย่างไรจากโครงข่ายคมนาคม” ทั้งที่ดำเนินการเสร็จแล้วและกำลังดำเนินการอยู่
และจากการฉายภาพทั้งหมดในวันนั้น ทั้งการดำเนินโครงการทางถนน ราง น้ำ และอากาศ เชื่อมโยงกัน ของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทำให้ภาคเอกชนที่ร่วมสัมมนาแสดงความเห็นด้วย และขอให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จให้เร็วที่สุด เพราะคาดหวังจะเพิ่มความสะดวกสบาย ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และยังช่วยให้ภาคเอกชนลดต้นทุนการประกอบการ เสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้อีกด้วย
“ทีมเศรษฐกิจ” ขอสรุปภาพรวมจากคำกล่าวปาฐกถาของนายศักดิ์สยามมาให้อ่านกันอีกครั้ง เพื่อให้เห็นทุกมิติของการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประโยชน์ทั้ง 4 มิติที่คนไทยจะได้รับ และประเทศไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร เมื่อโครงข่ายคมนาคมสำเร็จตามเป้าหมายแผนยุทธศาสตร์กระทรวงคมนาคม
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศเป็นอย่างมาก และได้ฝากให้กระทรวงคมนาคม ซึ่งถือเป็นกระทรวงหลักที่รับผิดชอบดูแลการลงทุนก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ และสาธารณูปโภคของประเทศ ให้เร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าว
โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเกิดความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” มีรายได้สูงขึ้น เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คนไทยมีความสุข อยู่ดี กินดี สังคมมีความมั่นคง และมีขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ” นายศักดิ์สยาม กล่าวปาฐกถาในหัวข้อเรื่อง “ชีวิตคนไทยจะดีขึ้นอย่างไรบนแผนคมนาคม”
ทำให้แม้ว่าจะอยู่ในช่วงการระบาดของโควิด-19 แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคู่ขนานกัน ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อให้เกิดโครงข่ายคมนาคมที่สมบูรณ์ต่อเนื่องกันทั้งประเทศ และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจไทย
โดยวาง 4 หลักสำคัญเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประชาชน และภาคธุรกิจไทย คือ “ความสะดวก ปลอดภัย ตรงต่อเวลา และราคาสมเหตุสมผล”
ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุดในขณะนี้ มีทั้งโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ เปิดให้บริการ ขณะที่โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ มีหลายโครงการมีความคืบหน้าค่อนข้างมาก ขณะที่หลายโครงการเป็นการลงทุนต่อเนื่อง ส่วนโครงการไหนยังทำไม่ได้ทันที ก็ได้เริ่มศึกษาข้อมูลเตรียมไว้ เพื่อให้ดำเนินการได้ทันทีในอนาคต
ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ได้ฉายภาพรวมของการก่อสร้างโครงข่ายคมนาคมของประเทศ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกันทั้งบก ราง น้ำ อากาศ โดยในส่วนของ “ระบบคมนาคมขนส่งทางบก” มีโครงการสำคัญที่กำลังดำเนินการอยู่ ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ทั้งการเชื่อมโยงกรุงเทพฯ ชั้นในและปริมณฑล และการเชื่อมโยงกรุงเทพฯ สู่เมืองสำคัญในต่างจังหวัด โครงการก่อสร้างทางพิเศษ สายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกและทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (ยกระดับ) สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ซึ่งจะทยอยเสร็จและเปิดใช้ในปี 66-67
ระบบคมนาคมขนส่งทางราง มีโครงการสำคัญ คือการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 14 เส้นทาง ระยะทางรวม 554 กิโลเมตร โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั่วประเทศกว่า 3,200 กิโลเมตร โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค 2 ช่วง คือ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา และช่วงที่ 2 นครราชสีมา - หนองคาย และโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)
ระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ ได้แก่ การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 รวมทั้งโครงการท่าเรือบก (Dry Port) จะเป็นศูนย์กลางในการขนถ่ายสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์เพื่อส่งต่อไปทางรถไฟได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และตรงเวลาในขอนแก่น นครราชสีมา นครสวรรค์ และฉะเชิงเทรา
และท้ายสุด ระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศ มีโครงการสำคัญที่เร่งดำเนินการคือ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือน เม.ย.นี้ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต
นอกจากนี้ ในครึ่งหลังของปีนี้ยังจะได้เห็น 2 โครงการที่สำคัญคือ ความคืบหน้าของ แผนแม่บท MR-Map ซึ่งจะเป็นถนนหลักเชื่อมเหนือใต้ ตะวันออก-ตะวันตกของประเทศ ซึ่งจะต่อยอดไปสู่การเชื่อมโยงไปสู่ภูมิภาค ประเทศเพื่อนบ้าน และการกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่น โดย MR-Map เป็นการพัฒนาแนวโครงข่ายทางหลวงพิเศษคู่ขนานไปกับโครงข่ายรถไฟทางคู่ 10 เส้นทางทั่วประเทศ
และโครงการ สะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (Land Bridge ชุมพร-ระนอง) ซึ่งจะสร้างโอกาสและมูลค่าเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลให้กับประเทศ ผ่านการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทั้ง 2 แห่งในฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน สำหรับขนถ่ายสินค้า และเชื่อมต่อท่าเรือทั้ง 2 แห่ง โดยอาศัยมอเตอร์เวย์ รถไฟ และท่อส่งน้ำมัน ซึ่งจะทำให้การขนส่งสินค้าผ่าน Land Bridge ชุมพร-ระนอง เร็วกว่าช่องแคบมะละกาถึง 4 วัน
แล้วคนไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากโครงข่ายคมนาคมเหล่านี้ !!
“การเร่งดำเนินการโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของประเทศ เมื่อทยอยลงทุน และดำเนินการจนแล้วเสร็จ โครงการเหล่านี้จะสามารถปรับเปลี่ยนระบบขนส่งโลจิสติกส์ของประเทศ และเพิ่มทางเลือกในการเดินทาง “ให้สามารถเดินทางให้สะดวกขึ้น ระยะเวลาสั้นลง มีความปลอดภัยมากขึ้น”
ยกตัวอย่าง การเดินทางจากกรุงเทพฯไปจังหวัดนครราชสีมา หากใช้ทางเลือกที่ 1 เดินทางโดยรถยนต์โดยใช้ถนนมิตรภาพ ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงครึ่ง ทางเลือกที่ 2 เดินทางโดยรถยนต์ แต่เปลี่ยนมาใช้ถนนมอเตอร์เวย์ใช้เวลาเดินทางจะลดลงเหลือ 1 ชั่วโมงครึ่ง และทางเลือกที่ 3 เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง จะใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
นอกจากนั้น ยังจะช่วยลดต้นทุนการประกอบการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในด้านต่างๆ ให้เพิ่มสูงขึ้น
โดยจากการศึกษาระบบมอเตอร์เวย์ สายกรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง สายบางปะอิน-โคราช และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี สามารถเพิ่มความเร็วในการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังหัวเมืองหลัก ในระยะรัศมี 300 กิโลเมตร จาก 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขณะที่โครงสร้างระบบรางที่ได้ลงทุนไป จะเพิ่มความเร็วในการเดินรถไฟขบวนผู้โดยสาร จาก 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเพิ่มความเร็วในการเดินรถไฟขบวนสินค้า จาก 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าจาก 7 ล้านตู้ต่อปี เป็น 18 ล้านตู้ต่อปี ขณะที่การเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานหลัก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา จะเพิ่มศักยภาพรองรับคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จาก 80 ล้านคนต่อปี เป็น 120 ล้านคนต่อปี
นอกจากนั้น ยังสามารถเชื่อมต่อกับภูมิภาคได้ด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย-ลาว-จีน และรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน เพิ่มโอกาสการค้า การลงทุน ด้วยโครงการ MR-MAP และ Landbridge ชุมพร-ระนอง
ขณะเดียวกัน หากจะมองใน 4 มิติ ตามหลักการของการใช้ประโยชน์ของโครงการโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงคมนาคม “ประโยชน์ที่คนไทย” จะได้รับในแต่ละมิติ จะมีดังนี้
มิติด้านความสะดวก
เพิ่มความเร็วในการเดินทางในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงรถติด เป็น 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยการใช้รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เพิ่มความเร็วในการเดินทางระหว่างเมืองจาก 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยการขับรถบนมอเตอร์เวย์ แต่หากใช้รถไฟทางคู่ความเร็วในการเดินทางจะเพิ่มขึ้นเป็น 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และหากเป็นรถไฟความเร็วสูงความเร็วในการเดินทางจะเพิ่มถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ลดความแออัดที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา โดยสามารถรับผู้โดยสารได้มากขึ้นจากเดิม 80 ล้านคนต่อปี เป็น 120 ล้านคนต่อปี
มิติปลอดภัย แก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน
-โครงการ RFB ซึ่งใช้ยางพาราหุ้มแท่งคอนกรีตจะสามารถลดความเสียหายและแก้ปัญหาการชนต่างทิศทางบนถนนที่เป็นเกาะสี โครงการ Motorway ซึ่งเป็นระบบปิด และไม่อนุญาตให้รถมอเตอร์ไซค์มาใช้งาน จะช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุจากรถที่ใช้ความเร็วต่างกัน และรถมอเตอร์ไซค์ได้
-โครงการพัฒนารถไฟทางคู่/รถไฟความเร็วสูง/รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ช่วยลดปริมาณการเดินทางและอุบัติเหตุบนถนน เนื่องจากรถไฟสามารถรองรับการเดินทางของคนได้มากกว่า และโอกาสการเกิดอุบัติเหตุน้อยมาก
-โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา ลดปริมาณการเดินทางและอุบัติเหตุบนถนนมิติด้านเวลา
-โครงการรถไฟทางคู่ แก้ปัญหารถไฟรอหลีกและจุดตัดถนน ทำให้ความเร็วในการขนส่งสินค้าเพิ่มจาก 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมิติด้านราคา
-โครงการรถไฟทางคู่ การขนส่งทางรางสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งได้ 4 เท่าตัว ขณะที่โครงการท่าเรือแหลมฉบัง การขนส่งทางน้ำลดต้นทุนค่าขนส่งได้ 8 เท่าตัว ขณะที่ระบบขนส่งมวลชนทางรางมีค่าบริการที่เหมาะสม ประชาชนทุกระดับสามารถใช้บริการได้
นอกจากนั้น หากมองในภาพรวมของประเทศ ยังจะได้รับประโยชน์จากแผนการลงทุนด้านคมนาคม โดยเฉพาะในเชิงเศรษฐกิจจากการหมุนเวียนเม็ดเงินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ซึ่งจะส่งผลต่อให้เกิดการหมุนของเงินไปสู่ภาคส่วนต่างๆทางเศรษฐกิจ
รวมทั้งการเป็นปัจจัยที่สำคัญในการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติที่จะเลือกเข้ามาลงทุน รองรับการขนส่งสินค้า ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง และเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยเชื่อมโยงทั่วทุกภูมิภาค และรองรับการเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
โดยในปี 2565 นี้ ประเทศไทยจะมีโครงการลงทุนทั้งทางบก ทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ในวงเงินสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่ได้ลงนามสัญญาแล้ว 516,000 ล้านบาท และโครงการลงทุนใหม่ 974,000 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์เบื้องต้นว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 154,000 ตำแหน่ง และมีส่วนที่จะต้องใช้จัดหาวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ รวมทั้งเครื่องจักร และยานพาหนะต่างๆ ประมาณ 1.24 ล้านล้านบาท
และจากการประเมินผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ด้วยสูตรคำนวณจากงานวิจัยของ Global Infrastructure Hub and Cambridge Economic Policy Associates ของสหภาพยุโรป จะทำให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบทวีคูณ หรือ Multiply Effect 4 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 2.35% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
“กระทรวงคมนาคมพยายามวางเป็น Action plan ไว้ ซึ่งจะทำให้ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล หรือเป็นรัฐมนตรีคมนาคม แผนการลงทุนขนาดใหญ่เหล่านี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน เพิ่มศักยภาพ และยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด” รมว.คมนาคม กล่าวทิ้งท้าย.
ทีมเศรษฐกิจ