ธรรมศาสตร์ เผยผลการศึกษา หากคนไทยได้ฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดสภายในปี 64 จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในปี 65 ที่ทยอยฟื้นตัว ดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้นกว่า 1.1 ล้านคน
ผศ. ดร. สุทธิกร กิ่งแก้ว ผู้บริหารโครงการสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ TU-RAC กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยเรื่องภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทยภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา และการพัฒนาการผลิตวัคซีนภายในประเทศนั้น พบว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP ในปี 2563 ลดลง 6.1% เมื่อเทียบกับปี 62
โดยโควิด-19 นั้นส่งผลกระทบตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 63 ทำให้เกิดการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการบริการ ด้านอาหาร การขนส่ง ที่หดตัว 36.6% และ 21% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังทำให้ภาคการส่งออกหดตัวลงด้วย โดยปี 2563 ลดลง 19.4% และยังพบอีกว่าส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทยใน 8 ด้าน ได้แก่
1. หนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในปี 2563 เพิ่มขึ้นถึง 51.83% และคาดว่าเพิ่มต่อเนื่องอีกเป็น 55.59% ในปี 64 ซึ่งใกล้ระดับเพดานความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60%
2. หนี้เอกชน ซึ่งเป็นการกู้ยืมเงินจากภาคเอกชนที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เพิ่มขึ้นตั้งแต่ในช่วงแรกของการระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อจะให้ธุรกิจกลับมาดำเนินการต่อได้ โดยเฉพาะการระบาดระลอก 3 ในช่วงไตรมาส 2/64 จึงทำให้มูลค่าการออกตราสารหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 61.90% และคาดการณ์ว่าครึ่งหลังปี 64 จะมีการออกตราสารหนี้ใหม่อีกกว่า 4 แสนล้านบาท
3. หนี้ครัวเรือน ในช่วงไตรมาสที่ 2/63 คนไทยมีหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 13.59 ล้านล้านบาท และเพิ่มต่อเนื่องจนไตรมาสที่ 1/64 มีประมาณ 14.13 ล้านล้านบาท โดยผู้กู้มีทั้งเพื่ออสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัยและรถยนต์ และกลุ่มผู้กู้เพื่อหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
4. การท่องเที่ยว ในปี 2563 รายได้จากการท่องเที่ยวหดตัวลงเหลือเพียง 0.8 ล้านล้านบาท ลดลง 72% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีประมาณ 3 ล้านล้านบาท มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 6.7 ล้านคน ขณะที่ปี 62 มีสูงถึง 40 ล้านคน โดยในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ แต่ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ
5. การว่างงาน มีผู้ว่างงานกว่า 7 แสนคนตลอดช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งสูงขึ้นจากช่วงก่อนการแพร่ระบาดที่มีจำนวนผู้ว่างงานประมาณ 3 แสนคน
6. ธุรกิจเลิกกิจการ โดยในปี 2563 มีถึง 20,920 ราย ทุนจดทะเบียน 91,859 ล้านบาท โดยธุรกิจที่เลิกกิจการสูงสุดคือ ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และภัตตาคาร/ร้านอาหาร
7. โรงงานอุตสาหกรรม ในปี 63 มีโรงงานฯ ประกอบกิจการใหม่ 2,633 โรงงาน เงินลงทุนรวม 171,054 ล้านบาท คนงาน 86,797 คน ซึ่งลดลงกว่าปีก่อนที่มีโรงงานฯ ประกอบกิจการใหม่ 3,175 โรงงาน เงินลงทุนรวม 301,418 ล้านบาท คนงาน 96,492 คน และมีโรงงานที่เลิกกิจการมีทั้งหมด 716 โรงงาน โดยกิจการที่มีการปิดสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์จากพืช ผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมอาหาร และผลิตภัณฑ์อโลหะ
8. การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต การเข้ามาของโรคโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมไร้เงินสด หรือ Cashless Society การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และการทำธุรกิจผ่านระบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น และเกิดการทำงานและการสื่อสารในรูปแบบใหม่ๆ อย่างการทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home
ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซขยายตัวสูงถึง 80% จากปีก่อนหน้า หรือมีมูลค่าประมาณ 300,000 ล้านบาท ตรงข้ามกับมูลค่าการซื้อขายผ่านหน้าร้านที่หดตัวถึง 11% ในปีเดียวกัน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างชัดเจน รวมถึงการดูแลใส่ใจสุขภาพทั้งตัวเองและคนรอบข้าง ลดการปฏิสัมพันธ์ เว้นระยะห่างทางสังคม และใส่หน้ากากอนามัย
คาดการณ์หากคนไทยได้ฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดสภายในปี 64
อย่างไรก็ตามจากผลกระทบที่เกิดขึ้น รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด พร้อมทั้งออกมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น โครงการคนละครึ่ง, เราชนะ, ม.33 เรารักกัน และ ยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นต้น โดยโครงการต่างๆ ช่วยกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจ
อีกทั้งได้มีมาตรการในการจัดหาวัคซีน โดยเลือกวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา เป็นวัคซีนแรก และทางแอสตราเซเนกาเลือกประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด ซึ่งผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด
โดยภายในปีนี้รัฐบาลได้เตรียมแผนการจัดหาวัคซีนจาก 3 วัคซีนหลัก คือ แอสตราเซเนกา ซิโนแวค และไฟเซอร์ รวม 127.1 ล้านโดส และหากรวมวัคซีนทางเลือกจะเท่ากับ 179.1 ล้านโดส ตั้งเป้าหมายการฉีดให้ได้ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และเร่งการเปิดเมืองท่องเที่ยวต่างๆ และเปิดประเทศเต็มรูปแบบในระยะต่อไป
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ในปี 2565 ไทยจะสามารถผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมกันประมาณ 260-295 ล้านโดส เฉพาะของสยามไบโอไซเอนซ์ที่ผลิตให้แอสตราเซเนกาสามารถผลิตได้ประมาณ 185-200 ล้านโดสต่อปี โดยมีการจัดสรรวัคซีนให้กับประเทศไทย 1 ใน 3 และอีก 2 ใน 3 ถูก ส่งมอบให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศใกล้เคียง
"หากคนไทยได้รับการฉีดวัคซีนได้ตามเป้าคือ 70% ของประชากร หรือ 100 ล้านโดส จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งปัจจุบันคนไทยได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 85 ล้านโดส (ข้อมูล ณ วันที่ 14 พ.ย. 64) มีส่วนสำคัญที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมช่วยให้สังคมกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ซึ่งจะเห็นได้จากในต่างประเทศที่อัตราการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ส่งผลโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกา อิสราเอล จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่สามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว"
ผศ.ดร.สุทธิกร กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยการที่ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนได้เองและเป็นฐานการผลิตให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นกุญแจสำคัญถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกวิกฤตการณ์ในครั้งนี้เสมือนเป็นการช่วยคนไทยและประเทศใกล้เคียงให้เข้าถึงวัคซีนได้รวดเร็วและง่ายขึ้น ตลอดจนส่งผลต่อความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชนในระยะยาว ทั้งการลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิตทำให้มีความพร้อมสามารถรองรับโรคอุบัติใหม่ในอนาคต
ทั้งนี้ หากการบริหารจัดการวัคซีนเป็นไปตามแผน ภายในเดือน ธ.ค. 64 จะส่งผลให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือประมาณ 2,500 คนต่อวัน ผู้เสียชีวิตลดลงเหลือประมาณ 40 คนต่อวัน และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/64 ปีนี้ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเพิ่มเกือบ 3 แสนคน และเกิดการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในประเทศ กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 10.38% อยู่ที่ระดับ 70.39 สูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 6.95% รวมทั้งผู้ว่างงานในระบบประกันสังคมลดลง 32.23% หรือประมาณ 4.5 แสนคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
หากพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจในด้านต่างๆ อาทิ มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะพบว่าหากการระบาดของโรคโควิด-19 ลดลงเกือบเป็นศูนย์ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1.1 ล้านคน ในไตรมาสที่ 1/65 อัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 11.26% ดัชนีการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 39.29% ผู้ว่างงานในระบบประกันสังคมลดลงกว่า 70,000 คน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกับปีก่อน โดยคาดการณ์ไว้ด้วยว่าปี 65 เศรษฐกิจจะขยายตัว 3.9%.