20 ปี “เจ๊จง” หมูทอดรวยน้ำใจ ผู้หญิงที่มีวันนี้ได้เพราะ “ให้” ลูกค้า

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

20 ปี “เจ๊จง” หมูทอดรวยน้ำใจ ผู้หญิงที่มีวันนี้ได้เพราะ “ให้” ลูกค้า

Date Time: 4 ม.ค. 2568 06:13 น.

Summary

  • “จงใจ กิจแสวง” เจ้าของร้าน “หมูทอดเจ๊จง” ชื่อดังในซอยหลังโลตัสพระราม 4 ในวัย 60 ปี เป็นผู้หญิงที่มีหน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตรจริงใจ ดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี พูดจาเสียงดังฟังชัด เล่าว่า เปิดร้าน “หมูทอดเจ๊จง” มาเกือบ 20 ปี ตอนนั้นอายุใกล้จะ 40 แล้ว “เจ๊จะสอนลูกให้ดูสิ่งที่ผ่านมาว่าที่แม่มาถึงวันนี้ และแม่มีทุกวันนี้ได้ เพราะแม่เป็นแบบนี้ แม่ทำแบบนี้ เพื่อให้ลูกนำไปเป็นแบบอย่างในการทำธุรกิจ”

Latest

ขอเป็นมากกว่าแค่ขายไก่ทอด KFC เปิดตัวเมนูใหม่ “ข้าวมันไก่ ร้านลุงเคเอฟซี” ต้อนรับปี 2025

“เจ๊จะสอนลูกให้ดูสิ่งที่ผ่านมาว่าที่แม่มาถึงวันนี้ และแม่มีทุกวันนี้ได้ เพราะแม่เป็นแบบนี้ แม่ทำแบบนี้ เพื่อให้ลูกนำไปเป็นแบบอย่างในการทำธุรกิจ”

“จงใจ กิจแสวง” เจ้าของร้าน “หมูทอดเจ๊จง” ชื่อดังในซอยหลังโลตัสพระราม 4 ในวัย 60 ปี เป็นผู้หญิงที่มีหน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตรจริงใจ ดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี พูดจาเสียงดังฟังชัด เล่าว่า เปิดร้าน “หมูทอดเจ๊จง” มาเกือบ 20 ปี ตอนนั้นอายุใกล้จะ 40 แล้ว

โดยก่อนหน้านั้นเปิดร้านขายของชำเล็กๆในตลาดแฟลตการท่าเรือ ก่อนจะโดนโกงแชร์เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ก็สู้และอดทน ทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ตั้งแต่ขายกาแฟ ขายนมสด หมูปิ้ง อาหารตามสั่ง จนมาขายข้าวแกงบุฟเฟต์ที่ว่าดี แต่ก็ยังมีรายได้ไม่พอใช้หนี้ ก่อนที่สุดท้ายจะเปลี่ยนมาขายหมูทอดจนประสบความสำเร็จถึงวันนี้

ลูกค้า “เจ๊จง” จะรู้ว่าถ้ามาที่ร้าน “หมูทอดเจ๊จง” นอกจากจะเติมข้าวฟรี ตักเพิ่มได้ไม่อั้นแล้ว ยังมีผักสดเติมได้ตลอด และยังมีกล้วยน้ำว้าให้กินฟรีอีกด้วย ถามว่าทำไมถึงให้เติมข้าวฟรีได้ไม่อั้น “เจ๊จง” บอกว่า ลูกค้าเขากินข้าวจานเดียวไม่อิ่มแล้วขอเพิ่มข้าว เราไม่อยากคิดเงินเพิ่ม ถือว่าช่วยๆกัน เราทำแบบนี้ตั้งแต่ช่วงเปิดร้านแรกๆ

“ลูกค้าบางคนเขาลำบาก เคยมีคนหนึ่งสั่งข้าวเปล่า 1 จานกับเกี๊ยวกุ้ง 1 ตัว ตัวละ 6 บาท แล้วเขาใส่กากแป้งทอด (ที่ได้จากหมูทอดที่เรามีให้เติมฟรี)  แล้วราดน้ำจิ้มเยอะ กินหมดก็มาเติมข้าวราดน้ำจิ้มอีกโดยที่กุ้งยังอยู่ เราก็คิดว่าเขาคงไม่มีจริงๆให้เขาได้กิมอิ่มก่อนออกไปจากร้านเราดีกว่า

ส่วนกล้วยน้ำว้านั้น มันเริ่มจากเราอยากช่วยแม่ค้าซื้อ ราคาไม่แพง เลยเหมามาหมด  คิดแค่ว่าซื้อมาแบ่งให้ลูกค้าเรากินด้วย ปรากฏว่าลูกค้าชอบกิน บางคนกินข้าวจานเดียวยังไม่อิ่ม ก็อาจอยากกินกล้วยต่อ จึงทำมาเรื่อยๆ รู้สึกมีความสุขที่เห็นลูกค้าได้กินของที่เราให้ไว้ และลูกค้าก็คงมีความสุขและประทับใจ

“เจ๊จง” บอกว่า เราเคยได้รับความประทับใจแบบนี้มาแล้ว  มีครั้งหนึ่งที่ไปจ่ายตลาด ซึ่งอากาศร้อน แล้วแม่ค้าที่ซื้อกันเป็นประจำ เขาซื้อพัดมาแจกให้เรา พัดสานอันไม่กี่บาท แต่เรารู้สึกว่ามันได้ใจเรา  มันคือการแบ่งปันที่ทำให้เราประทับใจ จึงมาทำกับลูกค้าเราด้วย ซึ่งมีบางวันที่ “เจ๊จง” ไปตลาด แล้วไปเจอขนมอร่อย ก็จะซื้อมาฝากให้เด็กในร้านและซื้อมาเผื่อให้ลูกค้าได้กินด้วย

หรืออย่าง การนำผักมาให้ลูกค้าเติมได้ตลอดเพราะ “เจ๊จง”ไปเฝ้าสามีป่วยที่โรงพยาบาล จนตัวเองไม่สบายเอง จึงลงไปหาหมอ เห็นคนป่วยมารอคิวให้หมอตรวจเต็มไปหมด ก็คิดเลยว่าถ้าลูกค้ามากินแต่หมูทอดร้านเรา แล้วไม่มีผักกินเลย ไม่น่าจะดี จึงนำผักมาไว้ให้ลูกค้าได้กินด้วย เพราะผักมีประโยชน์แน่ๆ

“เจ๊ว่ามันคือการใส่ใจและการแบ่งปัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าง เวลาลูกค้าขออะไร เจ๊จะตอบก่อนเลยว่า “ได้ค่ะ” เพราะดูแล้วมันไม่เหลือบ่า กว่าแรง อย่างจะขอกับข้าวเพิ่ม ขอน้ำแกงเพิ่ม ขอน้ำจิ้มกลับบ้านเพิ่ม เมื่อก่อนเราใส่ถุงให้ฟรีเลย แต่พอตอนหลังต้นทุนของมันแพงขึ้น  เราก็จะบอกลูกค้าว่า ขอคิดค่าน้ำจิ้มที่ใส่กลับบ้านถุงละ 2 บาท ลูกค้าก็ยินดีจ่ายและถ้าหากทางร้านทำอะไรผิดพลาด เราจะขอโทษเค้าก่อนเลย” เจ๊จงกล่าว

“เจ๊จง” เล่าต่อว่า มีลูกค้าหลายคนที่เขามากินร้านเจ๊ทุกวัน และวันเสาร์อาทิตย์ยังพาครอบครัวมากินอีก เจ๊เคยถามว่าทำไมมากินร้านเจ๊ทุกวัน เจ๊ว่ามันเป็นความผูกพันกันไปแล้ว ทำให้เจ๊ต้องเปิดร้านทุกวันไม่หยุดวันเสาร์อาทิตย์ แม้วันอาทิตย์จะปิดแค่เที่ยงวัน เพราะกลัวลูกค้าไม่มีอะไรทาน และไม่กล้าปิดร้านวันธรรมดาก่อนเวลา 4 โมงเย็นด้วย กลัวเขามาไม่เจอ เหมือนเราเป็นที่ฝากท้องของเค้าไปแล้ว

“หมูทอดร้านเจ๊จง อาจไม่ใช่ร้านที่อร่อยที่สุด และราคาที่ขายทั้งข้าวหมูทอดและข้าวแกงก็อาจไม่ได้ถูกที่สุด เพราะยังมีร้านอื่นที่ถูกกว่า แต่ร้านเราเน้นคุณภาพและราคาที่คุ้มค่าสมเหตุสมผลมากกว่า ลูกค้ามากินแล้วได้รสชาติดี อร่อย กินแล้วอิ่มคุ้ม เราไม่ได้ต้องการมีกำไรเยอะที่สุด ขอแค่ให้เราพอมีกำไรอยู่ได้และลูกค้าอยู่ได้ แต่เราขายได้ทุกวัน แม้ช่วงที่เกิดวิกฤติโควิดหรือมีปัญหาอื่นๆ” เจ๊จงกล่าว

“เจ๊จง” บอกว่า ปัจจุบันหมูทอดเจ๊จง มีลูกๆขยายสาขาออกไปเปิดร้านรวม 24 สาขา ทั้งในห้างและนอกห้าง นอกจากนี้ยังมีขายออนไลน์ผ่านแอปต่างๆด้วย ทุกวันนี้เจ๊จงรับหมูสดมาจากโรงงานใหญ่ที่มีมาตรฐานระดับประเทศวันละหลายร้อยกิโลกรัม โดยทุกร้านจะใช้หมูหมักทอดจากร้านเจ๊จง ส่วนกับข้าวอื่นๆก็แล้วแต่ความถนัดของลูกๆ เขยและสะใภ้ เราจะมีการประชุมพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นและช่วยกันแก้ปัญหาให้คำแนะนำกันภายในครอบครัวทุกเดือน

ปัจจุบันลูกจ้างร้านที่พระราม 4 มีประมาณ 20 คน ลูกจ้างคนแรกที่ทำกันมายังอยู่จนทุกวันนี้ หากรวมสาขาของลูกๆหมูทอดเจ๊จงน่าจะสร้างงานให้คนได้หลายร้อยคน ขณะที่ยังมีลูกค้าที่มารับข้าวหมูทอดเจ๊จงไปขายต่อตั้งแต่สมัยโควิดจนถึงวันนี้ก็ยังมารับไปขายอยู่

“เจ๊จง” บอกว่า ทุกวันนี้ภูมิใจที่ทำให้ลูกๆมีอาชีพที่ดี มีครอบครัวช่วยกันทำมาหากิน และสร้างงานให้คนได้ ที่สำคัญเจ๊จงมีลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่หลายๆคนมาให้คำปรึกษา ให้ความเมตตาเอ็นดู จากการที่เราเป็นตัวตนของเราแบบนี้ อย่าง “ดร.สิริกุล เหล่าไกรกุล”  ซึ่งเคยมาทานอาหารที่ร้าน และยังอาสาเข้ามาช่วยสร้างแบรนด์และคอยให้คำปรึกษาด้วย ถือว่าเราโชคดีมากๆ

“เจ๊จง” บอกว่า เมื่อก่อนตอนเป็นหนี้เจ๊นอนร้องไห้ทุกคืน ทุกวันนี้ไม่มีหนี้ แต่เจ๊ไม่ได้รวย แค่มีกินมีใช้ และมีบ้านอยู่อาศัย จากเมื่อก่อนที่ไม่มีจะกิน ไม่มีบ้านจะซุกหัวนอน  ทำให้ทุกวันนี้เจ๊โคตรมีความสุขเลย เจ๊จงนอนหลับด้วยความสุขทุกคืน!!

Business on my way ของเจ๊จง นอกจากความขยันอดทนสู้ชีวิตแล้ว สิ่งสำคัญคือการ “ให้” ที่จริงใจ และความใส่ใจลูกค้า โดยเฉพาะการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถึงแม้วันนี้เจ๊จงจะบอกว่า ตัวเองไม่ได้ร่ำรวยอะไร แค่พอมีพอกิน แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเจ๊จงรวยน้ำใจและร่ำรวยความสุขที่สุด!!

เลดี้แจน

คลิกอ่านคอลัมน์ “Business on my way” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ