สมูทอี (Smooth E) แบรนด์ไทยที่ประสบความสำเร็จในตลาดสกินแคร์มาอย่างยาวนานกว่า 32 ปี ด้วยการเริ่มต้นจากการบุกเบิกธุรกิจสกินแคร์ โดยเฉพาะการนำเสนอผลิตภัณฑ์โฟมล้างหน้าที่ไม่มีฟอง ซึ่งใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติและวิตามินอี ทำให้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยนและปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิว
เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายไม่ทิ้งสารตกค้างบนผิวหน้า ช่วยลดการระคายเคืองและการอุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว รวมถึงการเริ่มต้นตลาดจากช่องทางร้านขายยาเป็นหลัก
ทางผู้บริหารของ Smooth E โดย นายธนชัย ชัยกิตติวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมูทอี บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด ได้ออกมาแถลงข่าวว่า ปี 2567 นี้จะเป็นปีที่บริษัทมีการเปลื่ยนแปลงครั้งใหญ่ กับวิสัยทัศน์การเติบโตระยะยาวภายใน 5 ปีข้างหน้าจะทำยอดขายในระดับ 2,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาทำยอดขายได้ 800 ล้านบาท
กลยุทธ์สำคัญก็คือ การมุ่งเป้าไปจับกลุ่มผู้บริโภค GenZ ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ จากเดิมที่กลุ่มผู้บริโภคของแบรนด์ที่เคยมีกันมายาวนานได้อัปเลเวลไปเป็นกลุ่ม GenY และ GenX ขณะที่พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่เหมือนกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ในอดีต
ดังนั้น กลยุทธ์ทางการตลาดจำเป็นต้องอัปเกรดใหม่หมด เพื่อให้ทันกับเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน Smooth E ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 200 ล้านบาทในการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดของผลิตภัณฑ์กลุ่มรักษาสิว
โดยมีการพัฒนานวัตกรรมและบรรจุภัณฑ์ให้มีความสดใสและโมเดิร์น เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ และให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลผิวหน้าอย่างถูกต้อง เช่น การปรับสื่อสารจาก “สมูทอี โฟมไม่มีฟอง” เป็น “โฟมไม่มีสบู่ ไม่ทำให้ผิวเอี๊ยด PH5” เพื่อสร้างสมดุลผิว ลดมัน และลดสิว
สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์รักษาสิว (Smooth E Acne) มีการปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย และพัฒนานวัตกรรมการรักษาผิวเพื่อแก้ปัญหาสิวอย่างครบวงจร ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ จากการศึกษาพฤติกรรม GEN Z ที่โฟกัสการเห็นผลที่เร็ว มีประสิทธิภาพในการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อทำให้ผิวมีสุขภาพดีในระยะยาว ซึ่ง Smooth E สามารถตอบโจทย์และเติมเต็มทุกความต้องการได้
รวมถึงการเปิดตัวสินค้ากันแดดไร้สารเคมีที่สามารถคุมมันและกันสิวได้ 12 ชั่วโมง โดยในช่วงครึ่งปีแรก Smooth E เติบโตแบบตัวเลขสองหลัก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มโฟมล้างหน้าและ Smooth E Acne เติบโต 15% ส่วนกลุ่ม Smooth E Sun care เติบโต 10%
ไม่เพียงเท่านั้นการเข้าถึงกลุ่ม GenZ ได้เน้นช่องทางไปที่การวางตลาดในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีความนิยมและเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง แต่ตลาดสกินแคร์ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น มีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก
ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ได้กลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับตลาดสกินแคร์ นับตั้งแต่โลกโซเชียลมีเดียที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของกลุ่ม GenZ โดย อินฟลูเอนเซอร์ ดารา นักร้องยอดนิยม ได้ช่วยสร้างแบรนด์ไทยเล็กๆให้ประสบความสำเร็จได้ กลยุทธ์การตลาดเซ็กเมนต์ ลงลึก ไม่เพียงจะขายให้ใคร ขายให้กลุ่มไหน ที่ใด มีจุดเด่นอย่างไร แต่ลงไปถึงกลุ่มผู้บริโภคชื่นชอบใคร ติดตามใคร รสนิยมแบบไหน ที่สำคัญจะต้องทำราคาให้จับต้องได้
ดังนั้น ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่วางขายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จึงเป็นไซส์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นขนาดที่แบรนด์ต่างๆเคยทำแจกเป็นผลิตภัณฑ์ตัวอย่างให้ทดลองใช้กัน นำมาจำหน่ายในราคาถูกหลักสิบบาท พกพาสะดวกประหยัดพื้นที่สะดวกจัดเก็บ ขนส่งและวางจำหน่าย ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี
จนกลายเป็นความสำเร็จของ “ครีมซอง” หรือซาเช่ (Sachet) เกิดขึ้นหลายสิบแบรนด์ ได้สร้างผลกระทบให้กับผลิตภัณฑ์สกินแคร์แบรนด์อินเตอร์ยักษ์ใหญ่ไม่น้อย แต่ครีมซองที่ประสบความล้มเหลวก็มีมากเช่นกัน
Smooth E ได้ออกแพ็กเกจขนาดเล็กหลายขนาดในการวางจำหน่าย พร้อมกับดึง “ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์” เป็นพรีเซนเตอร์คนใหม่เพื่อดึงแฟนคลับมาใช้ รวมไปถึงการปรับแผนการโปรโมตไปยังแพลตฟอร์มดิจิทัล และโซเชียลมีเดีย ซึ่งปัจจุบันต้องสื่อสารภายในเวลาเพียง 6 วินาที ต่างจากยุคก่อนใช้เวลาโฆษณายาวถึง 3-4 นาที
นอกจากนี้ ได้เปิดตัวแคมเปญ “Smooth E Mobile Clinic” เพื่อลุยตลาดรักษาสิว โดยเจาะกลุ่ม Gen Z ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีนวัตกรรมสูงและตอบโจทย์ปัญหาสิวอย่างครบวงจร โดยมีการจัดโรดโชว์ทั่วประเทศเพื่อสร้างประสบการณ์จริงแก่ผู้บริโภค
การปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่นี้ทางผู้บริหารตั้งเป้าช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตของ Smooth E ในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าในอนาคต หลังจากปั้นแบรนด์เดนทิสเต้จนประสบความสำเร็จในตลาดยาสีฟันพรีเมียมมาแล้ว.
วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th
คลิกอ่านคอลัมน์ “ตลาดนัดหัวเขียว” เพิ่มเติม