“แต่อย่ามาจิ๊จ๊ะให้มันมากไป มันจะเป็นบ้า เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่” หากร้องมาถึงท่อนฮิตนี้ หลายคนคงจะรู้แล้วว่านี่คือเพลง “จิ๊จ๊ะ” ขวัญใจไอดอลยุค 90 ของศิลปินระดับตำนานอย่าง “วีรชน ศรัทธายิ่ง” หรือ โต อดีตนักร้องนำวง Silly Fools ที่สองมือเคยจับไมค์ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาจับเนื้อแทน ทำให้เรารู้จักเขาในชื่อ “บังโต เนื้อแท้” นั่นเอง
เพราะด้วยความหลงใหลในการทานเนื้อวัว จึงจุดประกายให้ “ศิลปิน” ผู้นี้เดินตามความฝัน ใช้ทักษะความเป็นศิลปินในการบริหารธุรกิจเพื่อสังคม ผนวกกับศาสตร์และศิลป์ของวงการดนตรี และความฝันที่อยากจะเห็นคนไทยได้รับประทานเนื้อวัวดีๆ มีคุณภาพ จึงได้ตัดสินใจผันตัวจากศิลปินนักร้องสู่ธุรกิจขายเนื้อวัวเต็มรูปแบบ ผ่านการเป็น ผู้ก่อตั้งและ CEO บริษัท คอมพานี บี จำกัด หรือที่ทุกคนคุ้นหูกับชื่อร้าน “เนื้อแท้”
และจากวันนั้นจนถึงวันนี้เรียกได้ว่าครบ 1 ทศวรรษ หรือ 10 ปีพอดีที่ก่อตั้งบริษัทมา กับการเติบโตไปอีกขั้น ในครั้งนี้ “เนื้อแท้” จึงได้เล่นใหญ่ผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่คือ “แองกัสเนื้อแท้” ที่จะกลายมาเป็นวัตถุดิบหลัก เพื่อจุดมุ่งหมายในการยึดตลาดเนื้อพรีเมียมแมสในไทย รวมทั้งการก้าวสู่เป้าใหญ่อีกหนึ่งประการ นั่นคือเดินหน้าเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย หรือ IPO นั่นเอง
เริ่มแรก บังโต วีรชน ศรัทธายิ่ง เล่าว่า เนื้อวัวสายพันธุ์แองกัส คือเนื้อวัวที่เราใฝ่ฝันมาตลอด ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทฯ ขึ้นมา แต่ด้วยข้อจำกัดในหลายๆ ด้านค่าใช้จ่ายในการนำเข้าที่มีมูลค่าสูง จำนวนการนำเข้า และอุปสรรคที่สำคัญที่สุด คือ วัวสายพันธุ์แองกัสแท้ไม่สามารถนำมาเลี้ยงในสภาพอากาศเมืองไทยได้ แต่ด้วยกับประสบการณ์ ความรู้ที่สั่งสมและโอกาสต่างๆ ที่เข้ามา ซึ่งทำให้ปัจจุบันนี้ข้อจำกัดต่างๆ ได้พังทลายลง
“แองกัสของเนื้อแท้จะเป็นเนื้อวัวที่แตกต่างออกไปจากเนื้อวัวสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ที่เนื้อแท้เคยทำ และแตกต่างจากเนื้อนำเข้าในตลาดทั่วๆ ไป ทั้งในเรื่องของคุณภาพที่เนื้อจะมีความนุ่มละมุน ไขมันแทรกกำลังดี กลิ่นหอมชัดเจนเป็นเอกลักษณ์ รวมไปถึงความแตกต่างในด้านของกระบวนการผลิต โดยเปลี่ยนเนื้อวัวที่เราใช้อยู่เดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เนื้อแท้, เนื้อแท้ Wok, เนื้อแท้ Wok กะ Steak (เป็นโมเดลใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว), The Beef Master, เซียนเตี๋ยว และเนื้อแท้บุชเชอรี่ ให้เป็น แองกัส”
นภศูล รามบุตร ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท คอมพานี บี จำกัด ซึ่งดำรงตำแหน่ง Operating executive กล่าวว่า ปัจจุบันเรามีธุรกิจร้านอาหารในเครือ 7 แบรนด์ แบ่งเป็น 21 สาขาใหญ่ 8 สาขาย่อย รวมเป็น 29 สาขา และมีธุรกิจขายเนื้อสดอีก 1 แบรนด์ คือเนื้อแท้บุชเชอรี่ ซึ่งในปี 2565 และ 2566 โดยเรามียอดนำเข้าผลิตภัณฑ์เนื้อวัวแบบเก่าอยู่ประมาณปีละ 360 ตัน และ 400 ตัน ตามลำดับ
ซึ่งคาดว่าการที่เราท็อปขึ้นไปอีกระดับ จะทำให้เราเพิ่มจำนวนในการนำเข้าวัวแองกัสในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 700 ตัน จากการขยายสาขาอีก 4 สาขาใหญ่ และ 2 สาขาย่อยไปจนถึงสิ้นปี 2567 รวมถึงการเปิดรับกลุ่มลูกค้าที่สนใจในผลิตภัณฑ์ สำหรับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร หรือแม้กระทั่งลูกค้ารายย่อยทั่วไป
ทำให้ในปี 2567 ได้มีการตั้งเป้ารายได้แตะ 750-800 ล้านบาท จากปี 2566 อยู่ที่ 500 ล้านบาท รวมทั้งมีแผนที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งตรงจุดนี้เองมองว่าจากการที่มีผู้ลงทุนเข้ามา การจะเข้าตลาดได้ต้องมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยมองว่าต้องมียอดขายขั้นต่ำ 1,500 ล้านบาท ซึ่งจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ทำรายได้อยู่ที่ 150 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนรายได้ 70% จะมาจากร้านอาหาร ส่วน 30% คือเนื้อ
และเมื่อถามถึงการเปลี่ยนบทบาทมาทำธุรกิจ บังโต เล่าว่า การเป็นศิลปินนั้นยากกว่าทำธุรกิจ เนื่องจากเป็นอาชีพที่เครียด ต้องคิดค้นเพลงออกมาให้โดนใจผู้ฟัง หรือเทรนด์ของช่วงนั้นๆ ส่วนธุรกิจเป็นเรื่องของการคำนวณให้ดี คนตอบรับดี หน้าที่มันก็จบ และต่อมาก็คิดคอนเซปต์ใหม่ให้มันโดน ดังนั้นพอมาถึงจุดนี้เราเบาใจมาก เพราะได้แองกัสมามันจะสร้างสรรค์และรันได้ง่าย พูดง่ายๆ ว่า ถ้าแก่นแข็งแรง เปลือกก็จะง่าย หมดปัญหาเรื่องการคุมคุณภาพ ก็เหมือนกับเราแต่งเพลง มันจะเป็นอมตะเรื่อยๆ ไม่ใช่ดังเพลงเดียว
“เหมือนเราเป็นนักร้อง ก็อยากดังระดับโลก ดังนั้นเมื่อเราทำแบรนด์ เราก็ต้องทำให้คนไทยทั้งประเทศชอบ และเราก็อยากจะเป็นระดับโลก ที่คนทั้งโลกควรจะได้รับรู้และชิม เนื้อแท้มันไปได้ถ้าทำให้มันง่าย และเราจัดการกระบวนการแต่ละร้านให้ไปได้”
ส่วนการทำธุรกิจช่วงไหนยากสุด บังโต มองว่าสิ่งที่ยากคือเรื่องการเงิน ทำยังไงให้การบริหารเงินกลับมาคงที่ ทั้งนี้ อนาคตเมื่อเข้าตลาด ก็ยังคงอยากถือหุ้นใหญ่ เพื่อให้มาตรฐานคงอยู่
ดังนั้นหากจะให้กล่าวว่า เนื้อแท้ ประสบความสำเร็จแล้วหรือไม่ บังโต มองว่าความสำเร็จเนื้อแท้ หากให้บอกระดับอยู่ที่ 3 ยังมีอีกหลายจุดที่ต้องแก้ไข ตั้งแต่กระบวนการร้านอาหารที่ต้องลีน คล่องตัว และเร็วกว่านี้ จะเป็นฟาสต์ฟู้ดแบบเคเอฟซี แมคโดนัลด์ มันจะต้องคงมาตรฐานและคุณภาพ
ส่วนการระดมทุนในตลาดหุ้นก็เพื่อจะนำเงินไปลงทุนโรงงานเพิ่ม รวมทั้งขยายร้านอาหาร แบรนด์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น และเติมกระแสเงินสด เพื่อที่จะมีการหมุนเวียนในระบบ
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney