หากพูดถึง “รองเท้า” ที่มีแทบทุกบ้าน ใส่มาแทบทุก Gen ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น คงจะหนีไม่พ้นตำนานรองเท้าเขียวสุดฮิตอย่าง “นันยาง” ที่ปัจจุบันย่างเข้าสู่ปีที่ 71 ปี โดย นันยาง (Nanyang) นับเป็นแบรนด์รองเท้าที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างเนิ่นนาน มีจุดเด่นคือการเป็น ‘รองเท้านักเรียน’ ที่คุ้นเคยของเด็กในช่วงสมัยยุค 80-90 ไม่ว่าจะสวมส้น ทับส้น ใส่เล่นกีฬาชนิดต่างๆ และใส่ทำกิจกรรมได้อย่างหลากหลาย นั่นจึงทำให้แทบทุกบ้านต้องมีติดตู้
ทั้งนี้ หากดูในส่วนของภาพรวมตลาดรองเท้านักเรียนทุกประเภทในไทย มีมูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท จากผู้เล่นในตลาด 10-15 แบรนด์ แบ่งเป็นรองเท้าผ้าใบ 60% รองเท้านักเรียนหญิง (รองเท้า PVC) 35% และอื่นๆ อาทิ รองเท้าแฟชั่นลำลอง รองเท้าหนัง สนีกเกอร์ 5%
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 3% ส่วนในปี 2567 คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 1-3% และยังคงมีการแข่งขันเข้มข้นเช่นเดิม
ส่วนทางฝั่งของ นันยาง ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาด เฉพาะรองเท้าผ้าใบเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 45% สำหรับภาพรวมธุรกิจของนันยางในปี 2566 ดีขึ้นกว่าปี 2565 ค่อนข้างมาก เนื่องจากในปี 2563-2565 หรือช่วงโควิด เติบโตเฉลี่ยเพียงปีละ 2%
แต่ในปี 2566 กลับโตสูงถึง 13.70% ทำรายได้ราวๆ 1.3 พันล้านบาท สูงกว่าอัตราการเติบโตรวมของตลาดประมาณ 3% ส่วนกำไรอยู่ที่ 37 ล้านบาท โดยในปี 2567 นันยางวางแผนการเติบโตต่อเนื่องที่ 3-5%
ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้นันยางมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะนันยางได้รุกทำกิจกรรมการตลาดและการขายต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสและเข้าถึงอย่างใกล้ชิด ประกอบกับได้รับแรงหนุนทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้น ทำให้นันยางเตรียมพร้อมเพิ่มกลยุทธ์เพื่อรุกขยายโอกาสทางการตลาดในทุกช่องทาง และยังคงเน้นเป้าหมายหลักที่กลุ่มนักเรียน นักกีฬา คนทำงาน และผู้ใช้งานอเนกประสงค์
ปัจจุบันกลุ่มสินค้าของนันยางมีทั้งหมด 4 แบบ คือ
ทั้งนี้ การซื้อรองเท้าของผู้บริโภค จากข้อมูลพบว่าจะอยู่ที่ 1.3 คู่ต่อคนต่อปี จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “นันยาง” อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และเหมือนจะเป็น “ตำนานรองเท้าผ้าใบนักเรียน” เลยก็ว่าได้ แต่กระนั้นแม้ว่าจะเป็นแบรนด์ “วัยเก๋า” นั่นก็ไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของนันยางดูเก่าลงไปตามกาลเวลา
เพราะที่ผ่านมา “นันยาง” ได้มีการปรับตัวเพื่อล้อไปกับยุคสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การนำกลยุทธ์การตลาด Real-time Marketing มาเสริมแกร่งให้กับแบรนด์ ผ่านการเกาะติดกระแสเทรนด์ต่างๆ ที่อยู่ในความสนใจของสังคม จนทำให้เกิดเป็นแคมเปญการตลาดใหม่ๆ อาทิ NANYANG X KOI SUWANNAGATE ได้มีการนำ “ผ้าไหมยกดอก” มาผสมผสานกับรองเท้าผ้าใบในสไตล์นันยาง
Nanyang X Fedfe ที่ดึงเอาสองบอยแบนด์แห่ง Fedfe มาเล่าเรื่องของพวกเขาด้วยโปรเจกต์วีรกรรมวีรเกรียน ผ่านรองเท้านันยาง
หรือแม้กระทั่ง Nanyang x Netflix ‘All of Us Are Dead’ Exclusive Edition รองเท้านักเรียนคู่เก๋าเอาไว้หนีซอมบี้ และ MOO แบรนด์เสื้อผ้าน้องใหม่จาก ASAVA Group ก็ได้ทำการ Collaboration กับรองเท้านักเรียนระดับตำนานอย่างนันยาง จนออกมาเป็นคอลเลกชันใหม่ด้วยเช่นกัน
ดร.จักรพล กล่าวต่อไปว่า สำหรับในช่วง “Back to School” เปิดเทอมใหญ่ เดือน พ.ค. นี้ ได้เริ่มต้นจำหน่ายสินค้าตั้งแต่ 20 เม.ย. แต่จะมาพีกต้นเดือน พ.ค. ต่อเนื่องไปจนถึงกลางเดือน มิ.ย. ซึ่งในปีนี้กำลังซื้อค่อนข้างชะลอตัวจากสงกรานต์ แต่วันแรงงานที่ผ่านมา ตัวเลขยอดขายสูงขึ้น เพราะพ่อแม่ว่างและเด็กๆ ปิดเทอม การจับจ่ายใช้สอยจึงคึกคักเป็นพิเศษ
ส่วนอินไซต์การเลือกซื้อสินค้า พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเน้นซื้อเสื้อผ้าก่อนรองเท้า ช่วงวัยประถมจะเน้นซื้อก่อนมัธยม ทำให้ยอดขายส่วนใหญ่ของนันยางจะมาจากในช่วงเปิดเทอมใหญ่ถึง 80% ส่วนอีก 20% จะเป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านไปสู่ภาคเรียนที่สอง
และด้วยความที่นันยางมองว่าตัวเองเปรียบเสมือนกับ “มีเดีย” ที่จะส่งสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคผ่านแคมเปญต่างๆ ล่าสุดเปิดเทอมนี้ จึงได้เดินหน้าผลักดันแคมเปญ “BULLY NO MORE” หรือ #บูลลี่ในโรงเรียนหยุดได้ด้วยนักเรียน ซึ่งทำมาตั้งแต่ปี 2563 เนื่องจากตระหนักถึงปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนของไทย ที่สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “พอดีไม่เหมือนกัน” เพื่อยุติการสร้างแรงกดดันและความคาดหวังกับตัวเองมากเกินไป หรือนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ
หลังพบสถานการณ์สุขภาพจิตของเยาวชนไทย ในช่วงปี 2563-2567 มีความเครียดสูง 24.83% มีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า 29.51% และเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงถึง 20.35% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าวัยอื่นๆ
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า “แม้ตลาดจะไม่โตก็ไม่เป็นไร แต่แบรนด์ยังคงอยู่ได้” นั่นก็เพราะว่า “นันยาง” มีการปรับตัวให้สอดรับกับยุคสมัยใหม่ ได้พัฒนาสินค้าที่มากขึ้น ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ และแสดงจุดยืนชัดเจน คงคุณภาพที่เน้นความ “ทน” จึงไม่แปลกที่ “นันยาง” จะสามารถครองใจผู้บริโภคขาสั้น คอซอง ได้เป็นอย่างดี และยังเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย
อ้างอิง DBD
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney