วันนี้คุณกินกาแฟแล้วหรือยัง? เรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรประจำวันของคนยุคนี้เลยก็ว่าได้ กับการเช็กอินร้านกาแฟ สั่งเมนูแก้วโปรด ถ่ายรูปอัปสตอรี่ ชิมขนมที่ชื่นชอบ จึงไม่น่าแปลกใจที่อัตราการบริโภคกาแฟจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศไทยจากข้อมูลพบว่าคนไทยดื่มกาแฟ 300 แก้วต่อปีต่อคนเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เองตลาดกาแฟจึงระอุอยู่ไม่น้อย เพราะผู้เล่นทั้งเก่าและใหม่ ต่างทยอยงัดกลยุทธ์หมัดเด็ดออกมาต่อสู้กันอย่างดุเดือด เพื่อช่วงชิงกำลังซื้อที่มี โดยเริ่มตั้งแต่บรรยากาศร้าน รสชาติ เมนู การบริการ เมล็ดกาแฟที่คัดสรรอย่างดี ไปจนถึงกระบวนการผลิตที่ทำให้ทุกแบรนด์ต่างมี “จุดเด่น” ที่คู่แข่งยากจะเทียบเคียง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่มีไม่กี่แบรนด์จะนึกถึง และให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ นั่นคือเรื่องของ “ความยั่งยืน”
ในครั้งนี้เรากำลังจะเอ่ยถึง “สตาร์บัคส์” (Starbucks) แบรนด์กาแฟสีเขียวๆ ชื่อเสียงก้องโลก ไม่ว่าใครก็เอ่ยถึงและยกให้เป็นเบอร์ 1 ของเจ้าตลาดกาแฟทานนอกบ้าน เนื่องด้วยภาพลักษณ์ที่พรีเมียม ต้องใช้เงินหลักร้อยในการซื้อแต่ละแก้ว รสชาติของกาแฟที่ไม่เหมือนใคร รวมทั้งการเป็นเสมือน ‘Third place’ ทั้งสถานที่ทำงานและบ้านของผู้คน
ซึ่งในประเทศไทย สตาร์บัคส์ ก็ได้สร้างหลักปักฐานมาเป็นเวลากว่า 26 ปีแล้ว โดย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีสาขารวมทั้งสิ้น 490 สาขา และมีแพลนจะเปิดสาขาใหม่ 30-40 สาขาใหม่ต่อปี
ทำให้ที่ผ่านมาเรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ไม่น้อย ทั้งการเปลี่ยนมือผู้ถือครอง การปรับราคาขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนกับว่าจะเป็นสิ่งที่สตาร์บัคส์เน้นย้ำ และดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด นั่นก็คือการให้ความสำคัญกับสังคม และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งในครั้งนี้ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวแคมเปญ LITTLE CHOICES. BIG CHANGES. เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ในด้านความยั่งยืน ด้วยการนำแก้วส่วนตัวมาใช้ที่ร้านสตาร์บัคส์ทั่วประเทศ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของสตาร์บัคส์ที่จะลดขยะลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573
เนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย กล่าวว่า สตาร์บัคส์มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานตามคำมั่นสัญญาของแบรนด์ต่อพาร์ตเนอร์ (พนักงาน) ลูกค้า ชุมชน ชาวไร่กาแฟ และโลกของเรา ผ่านกาแฟทุกๆ แก้ว โดยแคมเปญ LITTLE CHOICES. BIG CHANGES. ถือเป็นวาระที่สำคัญต่อเป้าหมายด้านความยั่งยืน ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้น้ำ และขยะลง 50% ภายในปี 2573
และในปี 2567 สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ตั้งเป้าลดขยะใช้ครั้งเดียวทิ้ง (เช่น แก้วพลาสติก) ลง 50% ด้วยการมอบส่วนลด 10 บาทสำหรับลูกค้าที่นำแก้วส่วนตัวมาใช้ที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาทั่วประเทศทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2541 ที่สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวในประเทศไทย ลูกค้าสตาร์บัคส์มีส่วนร่วมในการลดขยะแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งไปแล้วกว่า 29 ล้านใบ จากการใช้แก้วส่วนตัว
โดยจากปี 2566 ที่ผ่านมาแบรนด์สามารถรณรงค์ในการใช้แก้วส่วนตัว ได้เพิ่มขึ้น 34% คิดเป็น 2 ล้านแล้ว ส่วนในปี 2567 ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของการใช้แก้วส่วนตัวกว่า 50% หรือกว่า 3 ล้านแก้ว
นอกจากนี้ สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวโปรแกรม Grounds for Your Garden เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำกากกาแฟที่สตาร์บัคส์กลับไปผสมดินเพื่อปลูกต้นไม้หรือทำสวนที่บ้านได้ โดยในปี 2566 สตาร์บัคส์ได้แจกกากกาแฟไปแล้วกว่า 4,000 กิโลกรัมทั่วประเทศ
นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ร้านกาแฟของสตาร์บัคส์ในประเทศไทยยังได้รับการรับรองเป็นร้านกาแฟสีเขียว หรือ Greener Stores จำนวน 12 สาขา และคาดว่าในปี 2567 จะมีกว่า 20 สาขา โดย Greener Stores คือร้านกาแฟของสตาร์บัคส์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ควบคุมด้วยระบบการบริหารจัดการพลังงานที่จัดเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อการคงสถานะการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด รวมไปถึงการระบุการใช้พลังงานที่บกพร่อง เพื่อปรับปรุงการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นในครั้งต่อไป
“หลายปีที่ผ่านมาสตาร์บัคส์ได้มีการใช้ถุงรีไซเคิล นำกากกาแฟมอบให้กับลูกค้าเพื่อให้สามารถนำกลับไปใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งมีการเปลี่ยนกากกาแฟ ให้เป็นสิ่งของ และเฟอร์นิเจอร์ภายในร้าน อาทิ ที่รองแก้ว ผลักดันให้พาร์ตเนอร์ใช้แก้วส่วนตัว 100% การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าสตาร์บัคส์มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนอย่างแท้จริง” เนตรนภา กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามข้อมูลข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney