นาทีนี้ธุรกิจดาวรุ่งพุ่งแรงในปี 2567 คงหนีไม่พ้น “แฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก” เนื่องด้วยคนต้องการที่จะใช้เวลาในการทำกิจกรรม หรือพักผ่อนมากขึ้น รวมทั้งพื้นที่อยู่อาศัยปัจจุบันค่อนข้างมีจำกัด ดังนั้นหากมีโซลูชั่นที่ช่วยบรรเทางานบ้าน แลกกับการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ในการซื้อเครื่องซัก-อบที่มีราคาสูง ก็นับเป็นสิ่งที่ผู้คนยุคนี้ “ยอมจ่าย”
และด้วยธุรกิจนี้มีการเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ซักและอบเสร็จได้ในเวลาเพียง 20-40 นาที นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ใครๆ ต่างก็หันไปใช้บริการ “ร้านสะดวกซัก” จึงทำให้มูลค่าตลาดรวมของร้านสะดวกซักในประเทศไทยในปี 2566 ที่ผ่านมา สูงกว่า 10,000 ล้านบาท และมีการเติบโต 20-30% ทุกปีเลยทีเดียว และด้วยเหตุผลนี้เอง จึงไม่แปลกที่จะมีแบรนด์ร้านสะดวกซักผุดขึ้นดั่งดอกเห็ด พร้อมกับขยายแฟรนไชส์ออกไปเป็นจำนวนมากเพื่อชิงแชร์ “ทำเลทอง”
ซึ่งในตลาดนี้มีผู้เล่นรายน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนกว่าพันสาขา นั่นจึงทำให้ “ผู้ท้าชิง” ที่จะเข้ามาสู้ศึกในตลาด คงจะต้องมี “ของดี” อยู่พอตัว เพื่อที่จะต่อกรกับเจ้าตลาดที่มีอยู่ทั่วทุกมุมตึกได้
และหนึ่งในนั้นที่เพิ่งประกาศก้าวเท้าเข้าสู่สมรภูมิเดือดของธุรกิจ “เครื่องใช้ไฟฟ้าสี่เหลี่ยม” นี้ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก LG ล่าสุดได้เปิดตัวต้นแบบแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก “LG Laundry Crew” แห่งแรกของประเทศไทย และของโลก ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท สำหรับร้านไซส์ S ขณะที่ร้านไซส์ M-L จะมีราคาอยู่ที่ 2-2.5 ล้านบาท โดยเปิดแล้วสาขาแรกที่รามคำแหง ซอย 8
ทำให้กลายเป็นที่น่าจับตามองว่าการที่ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์ให้กับผู้ประกอบรายอื่น ที่มีสัดส่วนตลาดเครื่องซักผ้าเป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทยมาตลอด 35 ปี ลงมาเล่นธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักซะเอง ตลาดนี้จะเป็นอย่างไร?
ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ประธานหลักสูตรปริญญาโทด้านแบรนด์และการตลาด ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้วิเคราะห์กับ #Thairath money ว่า การที่ LG เข้ามาเล่นในตลาดนี้ถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจาก LG พยายามทำเรื่องของ Commercial Washing Machine หรือเครื่องซักผ้าที่เน้นเรื่องของการใช้ในธุรกิจอยู่แล้ว
จะเห็นได้ว่า LG ไม่ได้เล่นกับความหรูหรา แต่เน้นความสะดวก และความน่าเชื่อถือ วันนี้แม้ตลาดมีคู่แข่งจำนวนมาก แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ “ราคา” แต่อยู่ที่เรื่องของ “โลเคชัน” เพราะตอนนี้มีหลายยี่ห้อที่อยู่ในตลาดก่อนหน้า นำโดย Otteri และเจ้าดังๆ มีสาขาอยู่ประมาณ 1,000 สาขา ดังนั้นโลเคชันสำคัญจะถูกดึงไปเยอะพอสมควรแล้ว
ทั้งนี้การเติบโตถ้าดูจากการใช้งานของลูกค้าร้านสะดวกซัก กลุ่มลูกค้ามีสองกลุ่ม คือ 1. กลุ่มคนไทยที่บ้านไม่มีเรื่องซักผ้า ที่ส่วนใหญ่ถูกดึงไปแล้ว 2. กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติ ที่น่าสนใจไม่น้อย
และด้วยความที่แบรนด์ LG เป็นที่รู้จัก จะเป็นส่วนช่วยได้เยอะ ทั้งความสะอาด ความน่าเชื่อถือ โดยแอปฯ ที่จะสามารถบอกเวลาการซัก จ่ายเงินออนไลน์ การแจ้งเตือนการเปิดตู้ และเรื่องของการประหยัดน้ำ-ไฟ
นั่นจึงอาจทำให้ “LG” กลายเป็นผู้เล่นที่น่าจับตามองอีกรายหนึ่ง ฉะนั้นการที่เข้ามาอยู่ในตลาดนี้ คงต้องดูว่าเส้นทางของ LG ที่จะไปจะเป็นอย่างไร โลเคชันไหนที่มองไว้ เพราะถ้าจะเข้าไปอยู่ในชุมชนดังเช่นผู้เล่นรายอื่นๆ เห็นจะไม่ทัน คงต้องงัดนวัตกรรมที่ถือเป็นจุดเด่นของ LG เอาออกมาเล่น เพื่อช่วงชิงกำลังซื้อ และทำให้แบรนด์ร้านสะดวกซัก “LG Laundry Crew” เข้าไปนั่งอยู่ในใจของคนให้ได้