พญ.กิติมา ยุทธวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก หรือ Pediatric Nutrition Manufacturer Association : PNMA กล่าวว่า ปัจจุบันยังพบปัญหาเด็กประสบปัญหาภาวะทุพโภชนาการ อาทิ มีภาวะผอมหรือภาวะอ้วน ภาวะทุพโภชนาการนี้ จะส่งผลกระทบต่อเด็กและสังคมในระยะยาว เนื่องจากปัญหานี้มีผลโดยตรงต่อการเติบโตพัฒนาการด้านร่างกายและสติปัญญา และยังอาจส่งผลต่อทักษะด้านอื่นของเด็กไทย
ดังนั้นเราจึงตัดสินใจทำการวิจัยร่วมกับ Kantar เพื่อสำรวจรูปแบบวิธีการบริโภคและความเข้าใจของสารอาหารในเด็ก ขึ้นเพื่อศึกษาถึงพฤติกรรม ตลอดจนทัศนคติการเปิดรับข้อมูลข่าวสารของคุณแม่ที่มีลูกน้อย เพื่อให้เกิดความเข้าใจถ่องแท้ลึกซึ้ง รวมทั้งนำข้อมูลที่ได้มาบูรณาการให้เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องโภชนาการสำหรับเด็กไทยต่อไป
ทั้งนี้ การเลือกสื่อหรือการใช้สื่อเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านโภชนาการสำหรับเด็กเล็ก สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ในยุคปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมค้นคว้าหาข้อมูลสิ่งต่างๆ ก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ไม่ว่าจะเป็น สื่อโฆษณา รายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก เว็บไซต์ ที่มีบทความให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีความน่าเชื่อถือ
หากขาดสื่อเหล่านี้ไป จะทำให้ประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยง เพราะจะเหลือแหล่งข้อมูลเพียงไม่กี่แหล่งและเสี่ยงต่อการถูกหลอกด้วยวิธีการชวนเชื่ออื่น เช่น กลุ่มเฟซบุ๊ก อินฟลูเอนเซอร์ หรือเพจรีวิวสินค้าที่ไม่มีการให้ข้อเท็จจริง ที่ช่วยให้คุณแม่ตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ หรือวางแผนด้านโภชนาการได้อย่างเหมาะสม
งานวิจัยล่าสุดจาก PNMA และ Kantar สำรวจคุณแม่ช่วงอายุ 18-50 ปี ที่มีลูกอายุ 1-3 ขวบปี ทั่วประเทศที่อาศัยในเขตเมืองและนอกเมือง พบว่าโฆษณาทางโทรทัศน์ ทางออนไลน์ ทางร้านค้า หรือการพูดคุย ได้รับการบอกต่อ เป็นช่องทางหลักที่คุณแม่โดยทั่วไปใช้ในการติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มเสริมอาหาร
โดยเฉพาะสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ และทางออนไลน์ เป็นช่องทางที่คุณแม่คิดว่ามีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ช่วยสร้างความมั่นใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มเสริมอาหารสำหรับเด็กมากขึ้น ป้องกันการถูกหลอกให้ซื้อสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ หรือสินค้าที่ไม่เป็นที่รู้จัก
ช่องทางโฆษณาทางโทรทัศน์ มีความน่าเชื่อถือสูงมากกว่าร้อยละ 50-54 รองลงมาคือช่องทางโฆษณาออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก หรือยูทูบ มีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับร้อยละ 44-52 ในขณะที่โฆษณานอกบ้าน เช่น บิลบอร์ด ร้านค้า และ เพื่อน ครอบครัว หรือคนรู้จัก มีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับร้อยละ 38-44
อนึ่ง การที่โฆษณาได้รับความเชื่อมั่นจากคุณแม่สูงก็เพราะว่าชิ้นงานโฆษณานั้นก่อนจะได้รับการเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้เกี่ยวข้อง อาทิ หน่วยงานราชการ ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เมื่อออกสู่สายตาสาธารณชนแล้ว คุณแม่ย่อมมีความเชื่อใจไปในระดับหนึ่งว่าไม่ใช่เนื้อหาที่มีการหลอกลวง ประกอบกับโฆษณาส่วนใหญ่ ได้ให้ความรู้ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับคุณแม่อีกด้วย
สำหรับเรื่องข้อมูลไม่ถูกต้อง บิดเบือน หรือข่าวจำพวกเฟกนิวส์จากแหล่งข้อมูลส่วนบุคคล ร้านค้า เว็บไซต์ กลุ่มออนไลน์ หรือเพจโซเชียลมีเดียที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ยังคงเป็นปัญหาที่หลายฝ่ายให้ความวิตกกังวลอย่างมากเพราะข่าวลือ ความรู้ที่ไม่ถูกต้องมักจะมาจากช่องทางเหล่านี้และทำให้คุณแม่จัดการโภชนาการให้ลูกอย่างผิดวิธี
แต่ข่าวดีคือจากงานวิจัยล่าสุดพบว่า คุณแม่ในทุกช่วงอายุและในทุกกลุ่มระดับการศึกษา ให้ความน่าเชื่อถือกับแหล่งข้อมูลที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับโภชนาการ การดูแลเด็กโดยตรง เช่นเพจเฟซบุ๊ก อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่ต่ำกว่าทุกช่องทางสื่อสาร
ยกตัวอย่างเช่นการรีวิวจากบล็อกเกอร์ และอินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ คุณแม่ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯให้ความเชื่อถือร้อยละ 11 ในขณะที่คุณแม่ในต่างจังหวัดนอกเขตเมืองให้ความเชื่อถือร้อยละ 2 คุณแม่ในต่างจังหวัดเขตเมืองให้ความเชื่อถือร้อยละ 24 เท่านั้น
กลุ่มทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่สุดที่คุณแม่จะรับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง คุณแม่ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ให้ความเชื่อถือเพียงร้อยละ 11 คุณแม่ในต่างจังหวัดเขตเมืองให้ความเชื่อถือร้อยละ 25 คุณแม่ในต่างจังหวัดเขตนอกเมืองให้ความเชื่อถือเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น
จากผลสรุปของการวิจัย จะเห็นได้ว่าพลวัต หรือ Dynamic ของสื่อยุคใหม่ ช่วยให้คุณแม่ยุคดิจิทัลเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านโภชนาการสำหรับลูกได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันคุณแม่ส่วนใหญ่มีวิจารณญาณมากเพียงพอในการคัดสรรข้อมูลที่ถูกต้อง จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
หากหน่วยงานราชการ เอกชนตลอดจนองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร จะร่วมแรงร่วมใจสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ย่อมเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงสำหรับเด็กๆ ของเราที่จะเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต