คุณวราวุธ นาถประดิษฐ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคอรี่ฯ มุ่งมั่นพัฒนาระบบการจัดส่งอย่างต่อเนื่อง ผ่านแนวคิด Kerry Fast Tech นี้ ทั้งเทคโนโลยี Smart Sorting และ Digital Mapping ช่วยลดปริมาณงานและระยะเวลาการทำงานของพนักงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้อย่างสูงสุด ลดขั้นตอนการคัดแยกและจัดส่งพัสดุรวดเร็ว และแม่นยำมากยิ่งขึ้น สามารถรองรับจำนวนพัสดุจัดส่งที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในช่วง Double Date และเทศกาลลดราคาปลายปี
‘Kerry Fast Tech’ ได้มีการเริ่มนำนวัตกรรมทั้ง Smart Sorting และ Digital Mapping ไปใช้ที่ศูนย์ KBLC โดย Smart Sorting เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะช่วยคัดแยกพัสดุได้อย่างแม่นยำเพื่อจัดส่งไปตามภูมิภาคและจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย โดยสามารถคัดแยกพัสดุเพื่อจำแนกออกไปตามแต่ละพื้นที่ หรือโซนของที่อยู่ในประเทศไทย และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานรวดเร็วกว่าเดิมถึง 3 เท่า นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากมนุษย์ได้อีกด้วย
และอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการจัดส่งพัสดุให้มีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้นเมื่อส่งพัสดุไปถึงปลายทาง นั่นคือ Digital Mapping ซึ่งสามารถจะช่วยระบุที่อยู่ในประเทศไทยที่มีความลงลึกในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นตรอก ซอก ซอย ฯลฯ มาเป็นหมุดแผนที่ปลายทางได้อย่างชัดเจน
การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับพนักงานของบริษัทจะทำให้การคัดแยกพัสดุเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว สามารถเพิ่มความถี่ของรอบการขนส่งให้เหมาะสมได้ และส่งผลไปยังการควบคุมต้นทุนการจัดส่งพัสดุได้อย่างมีประสิทธิภาพในที่สุด
การยกระดับการขนส่งด้วยการพัฒนาและวางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ไม่เพียงแต่สามารถลดต้นทุนการจัดส่งพัสดุเท่านั้น แต่ยังเป็นการปูทางไปสู่เป้าหมายการรุกตลาด C2C มากขึ้นในปีหน้า ซึ่งเป็นตลาดพรีเมียมที่มีราคาจัดส่งพัสดุต่อหน่วย สูงกว่าราคาต่อหน่วยของตลาดอีคอมเมิร์ชถึง 3 เท่า โดยปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนการจัดพัสดุสูงกว่ารายได้ อยู่ที่ประมาณ 8-10 บาท ต่อชิ้น
การต่อยอดบริการจัดส่งถึงที่ (Door to door) ผ่านแอปพลิเคชัน Kerry Express จะช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงลูกค้า C2C ได้มากขึ้น ซึ่งจะสามารถชดเชยการขาดทุนต่อหน่วยของการจัดส่งพัสดุ โดยลูกค้าจะจ่ายค่าจัดส่งในเรตเดียวกับหน้าร้าน โดยไม่ต้องเสียค่าน้ำมันในการเดินทาง
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มลูกค้า B2C อยู่ที่ 52% B2B อยู่ที่ 3% และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ในกลุ่ม C2C อย่างน้อย 60% จาก 45% ภายในปีหน้า