ไทยเบฟกางแผนบุกจีน-อาเซียน เปิดยอดขาย 9 เดือนทะลุ 2.15 แสนล้านบาท

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พร้อมทีมงานบริหารสูงสุด แถลงวิสัยทัศน์และทิศทางของธุรกิจประจำปีว่า กลุ่มไทยเบฟจะรุกลงทุนในภูมิภาคอาเซียนที่มีประชากรกว่า 600 ล้านคน รวมถึงจีนและนิวซีแลนด์ โดยปัจจุบันยังคงเป็นบริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุด มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นอันดับที่ 9 ของภูมิภาคเอเชีย โดยยอดขาย 9 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 215,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากการปรับตัวดีขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ขณะที่กำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) อยู่ที่ 37,765 ล้านบาท ลดลง 3.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจแอลกอฮอล์มีสัดส่วนรายได้กว่า 60% นอน-แอลกอฮอล์ 30% โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนให้เท่ากันในปี 2030

นายฐาปนกล่าวว่า ตัวเลข EBITDA ลดลง จากการนำเงินไปลงทุนแต่ละปีจำนวน 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้กลับมาในอนาคต โดยปีนี้ตั้งเป้าลงทุน 7,000 ล้านบาท ไม่รวมการควบรวมกิจการต่างๆที่จะเกิดขึ้น เน้นลงทุนหลักไปยังลาวและกัมพูชา โดยในกัมพูชาจะลงทุนสร้างโรงงานผลิตเบียร์และเครื่องดื่มนอน-แอลกอฮอล์ มูลค่า 4,000 ล้านบาท มีกำลังผลิตเบียร์ปีละ 50 ล้านลิตร คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า สำหรับเมียนมาไทยเบฟมีโรงเบียร์ที่กรุงย่างกุ้งอยู่แล้ว และได้ซื้อใบอนุญาตผลิตเบียร์ที่เมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งกำลังศึกษาการลงทุนอยู่

ส่วนในประเทศจีน กลุ่มไทยเบฟเริ่มเข้าไปร่วมทุนกับธุรกิจจีนในกวางตุ้ง และมีโรงงานเหล้าขาวในยูนนานด้วย แต่อยู่ระหว่างการเริ่มต้น โดยเฉพาะกระบวนการโลจิสติกส์ที่เอาเทคโนโลยีและ AI มาช่วยบริหาร แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นการใช้รถขนส่งอีวี แต่ก็สามารถนำมาช่วยบริหารลดต้นทุนการใช้รถบรรทุกสันดาปได้ รวมถึงการบริหารซัพพลายเชน ซึ่งจีนทำได้ดีมาก”

นายฐาปน กล่าวว่า การลงทุนของไทยเบฟ ยังพิจารณาถึงการร่วมมือกับพันธมิตรมากกว่าที่จะไปควบรวมกิจการ เช่น พันธมิตรอยากบุกตลาดอาเซียน ไทยเบฟช่วยได้ มองตลาดจีนเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อการเติบโตในอนาคต หากไม่เริ่มตรงนี้คงไม่ทัน เพราะทางโน้นเขาก็มองตลาดอาเซียน เช่น “เหมาไถ” ผู้ผลิตเครื่องดื่มอันดับหนึ่งของเอเชียก็บุกตลาดไทยแล้ว มีตัวแทนจำหน่ายแล้ว ดังนั้น การแข่งขันต่อไปจะมาจากการผนึกกับพันธมิตรมากกว่าความใหญ่หรือกำไรมาก “ในตลาดผู้ผลิตเครื่องดื่มขณะนี้ถือว่าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อาจจะเห็นได้ชัดว่าในปี 2025 ว่าใครจะอยู่รอด ทั้งฐานการเงินและความแข็งแกร่ง”

สำหรับในประเทศนิวซีแลนด์ ได้เข้าไปซื้อธุรกิจลาร์เซน คอนญัก และคาร์โดรนา ดิสทิลเลอรี่ โดยการเข้าซื้อธุรกิจดังกล่าว นับเป็นก้าวแรกของกลุ่มในการเข้าสู่ตลาดคอนญักและตลาดสุราโลกใหม่ ซึ่งจะเข้ามาเติมเต็มกลุ่มสินค้าสุรา รวมถึงการเอาเครื่องดื่มโออิชิเข้าไปจำหน่าย ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี.

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่