Lee รุกตลาดยีนส์ ดึง "หมาก ปริญ" ขยายฐานลูกค้า

ตลาดยีนส์ในประเทศไทยมูลค่า 15,000-20,000 ล้านบาท ทั้งแบรนด์อินเตอร์และแบรนด์ไทย เปิดศึกแข่งกันดุเดือดรองรับกำลังที่ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะชาวจีนลูกค้ารายใหญ่

Lee (ลี) หนึ่งในแบรนด์อินเตอร์มีตำนานมายาวนาน ตั้งแต่ปี 1889 หรือกว่า 134 ปี ได้รุกตลาดยีนส์อย่างน่าสนใจในขณะนี้โดย บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด (cmg) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผู้จัดจำหน่ายและบริหารแบรนด์ระดับโลกกว่า 40 แบรนด์ในกลุ่มแฟชั่น ยีนส์ ความงาม นาฬิกา รองเท้า เครื่องประดับ ของใช้ภายในบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ มองว่า ตลาดยีนส์มีความโดดเด่นกว่าตลาดแฟชั่นอื่น

จากการสำรวจข้อมูลระบุว่า พฤติการของคนไทยสำหรับซื้อผลิตภัณฑ์ยีนส์ เฉลี่ยปีละ 2 ครั้ง และมีผลิตภัณฑ์ยีนส์ทั้งที่เป็นเสื้อ กางเกง กระโปรง หมวก รองเท้า เป็นต้น ไม่ต่ำกว่า 15 ชิ้นต่อคน ตอกย้ำว่ายีนส์เป็น Everyday look ที่สามารถสวมใส่หรือใช้ได้บ่อยและเป็นที่นิยมในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งในปีนี้การแต่งกายด้วยแฟชั่นยีนส์มีความตื่นตัวมากขึ้น มีคาดการณ์ว่า ตลาดยีนส์ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 8–10%

แบรนด์ Lee จึงตอบรับความต้องการของผู้บริโภค ด้วยการรุกตลาดยีนส์เต็มสูบในทุกช่องทางขาย ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงการออกคอลเลกชันใหม่ที่เน้นในเรื่องการดีไซน์และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่การสวมใส่ และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อขยายพอร์ตกลุ่มธุรกิจยีนส์ของ cmg ให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้แบบก้าวกระโดด

นายอำนาจ สุเมธาศร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มสินค้าเดนิม และ Owned brands ของ cmg กล่าวว่า Lee แบรนด์ระดับตำนานที่มีความโดดเด่นคือการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างสม่ำเสมอ เช่น กางเกงยีนส์ผสมหยก (Jade Fusion) ที่มีการใช้ผงหยกผสมลงไปในเส้นด้าย ช่วยทำให้รู้สึกเย็นสบายผิว หรือ Nitro Cool เทคโนโลยีผ้าคอตตอนผสมเส้นใย White Graphene ซึ่งเป็นวัสดุที่ไม่เป็นพิษกับร่างกายมนุษย์และมีฤทธิ์ป้องกันการก่อตัวของแบคทีเรีย เป็นต้น

ขณะเดียวกันยังคำนึงถึงดีไซน์การออกแบบให้เข้ากับยุคสมัย ตามคอนเซปต์ Young & Trendy ที่เป็นสไตล์การแต่งตัวที่เน้นความรวดเร็วและเป็นที่นิยมในวัยรุ่น ซึ่งในทุกๆปี แบรนด์ออกคอลเลกชันพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Global Capsule Collection และ Exclusive Collection ที่วางจำหน่ายเฉพาะตลาดประเทศไทยเท่านั้น เช่น Lee Thai Collection และ Lee Bear Collection เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆในประเทศ

นอกจากนี้ยังใช้กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อตอกย้ำ “ดีเอ็นเอ” ผ่านแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อสร้างกระแสและการเชื่อมต่อกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (connect to target customer) แบรนด์ต้องการสื่อภาพลักษณ์ Young & Trendy จากเดิมที่เน้นเรื่องยีนส์เป็นหลัก มาสู่การปรับเปลี่ยนดีไซน์ของสินค้าให้ตามเทรนด์ เพิ่มลูกเล่นต่างๆบนสินค้าให้ดูน่าสนใจ อย่างคอลเลกชัน Lee Iconic Logo ที่มีการใช้เทคนิคพิเศษที่หลากหลายบนโลโก้ อาทิ Die Cut การทำเทกเจอร์พิเศษ รวมถึงการนำเทคนิค Monogram ผสมในงาน Patchwork บนโลโก้หลากหลายสี แสดงออกถึงความสนุกสนาน โดยยังคงความเท่และมีสไตล์ในแบบของ Lee

การใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในยุคดิจิทัล ดิสรัปชัน นับเป็นเครื่องมือทางการตลาดและการสื่อสารที่มีประสิทธิ ภาพ ยิ่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่มีคาแรกเตอร์ที่เข้ากับแบรนด์ได้อย่างชัดเจน จะเป็นการเบรนด์กับแบรนด์ได้กลมกลืน โดยแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Lee คนล่าสุดนำเสนอ “หมาก–ปริญ สุภารัตน์” เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในกระดานจิ๊กซอว์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค เพราะภาพลักษณ์ความเป็นพระเอกที่จับต้องได้ และไลฟ์สไตล์ที่สอดคล้องกับบุคลิกภาพของแบรนด์ Lee ที่เข้าถึงง่ายและสวมใส่ยีนส์ได้ในทุกๆวัน

“หมาก-ปริญ มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน สไตล์การแต่งตัวที่ใส่ยีนส์ในชีวิตประจำวัน และไลฟ์สไตล์รักการเดินทางชอบค้นหาสิ่งใหม่ๆ และรู้จักแบรนด์เป็นอย่างดีมีความคุ้นเคย สวมใส่ Lee ในหลายๆโอกาส และเข้าใจอัตลักษณ์ความเป็น Lee อีกทั้งเขายังสามารถใช้ออนไลน์แพลตฟอร์มของตัวเองเชื่อมต่อกับแฟนคลับ นั่นเป็นความเชื่อมโยงที่ลงตัวให้แบรนด์ได้ใกล้ชิดกับผู้บริโภคและเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการขยายฐานลูกค้า ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ” นายอำนาจกล่าว

สำหรับช่องทางการจำหน่ายได้อัปเกรดแฟล็กชิปสโตร์และปรับภาพลักษณ์จุดขายของ Lee กว่า 190 จุดทั่วประเทศ รวมทั้งการขยายช่องทางออนไลน์ให้ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดแฟชั่นยีนส์ในประเทศไทย.

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th