วันเสาร์สบายๆวันนี้ผมชวนท่านผู้อ่านไปคุยเรื่องของ “ธุรกิจการค้า” กันนะครับ ไปดูการแย่งชิงความเป็น ศูนย์กลางการเงินและการค้าของโลก เขาทำกันอย่างไร ธนาคารยูโอบี เพิ่งเผยแพร่รายงาน UOB Business Outlook Study 2023 (SME Large Enterprise) จากการสำรวจบริษัทกว่า 4 พันแห่ง จาก 10 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักใน 7 ประเทศ มี ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง เวียดนาม และ จีน พบว่า 4 ใน 5 หรือ 80% ของธุรกิจกำลังมองหาโอกาสที่จะขยายธุรกิจในต่างประเทศในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดยมีบริษัทใน อินโดนีเซีย จีน เวียดนาม และ ไทย สนใจไปลงทุนในต่างประเทศมากที่สุด
ประเทศเป้าหมายในอาเซียนที่นักธุรกิจต้องการไปลงทุนคือ สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย แต่ไทยยังต้องรอดูสถานการณ์การเมือง จะตั้งรัฐบาลใหม่ในสิงหาคมนี้ได้หรือไม่ การเมืองจะนิ่งพอหรือไม่ มีวี่แววจะเกิดการปฏิวัติอีกหรือไม่ ถ้าการเมืองนิ่งไม่มีวี่แววจะเกิดการปฏิวัติอีก เงินทุนต่างชาติจะไหลมาเมืองไทยแน่นอน ชีวิตสุขสบายกว่าสิงคโปร์ มาเลเซียเยอะ
วันนี้ผมจะยกตัวอย่างการแข่งขันของ สิงคโปร์ และ ฮ่องกง ประเทศเกาะและเมืองเกาะที่แย่งชิงแข่งขันการเป็น ศูนย์กลางการเงินของโลก และ ศูนย์กลางการค้าของโลก ทั้งที่สองเมืองนี้ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลย นอกจากมันสมองสองมือ มีประชากรที่มีการศึกษาดีมีคุณภาพ มีการเมืองที่นิ่งสงบมั่นคง ที่สำคัญที่สุดก็คือ “ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน” ของข้าราชการและนักการเมืองเหมือนประเทศไทย
ข้อมูลจาก วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนกรกฎาคม รายงานถึงการแข่งขันชิงการเป็น “ศูนย์กลางธุรกิจแห่งเอเชีย” ของ ฮ่องกง กับ สิงคโปร์ ว่า ก่อนที่ฮ่องกงจะกลับไปอยู่กับจีนในปี 1997 จีดีพีต่อหัวของฮ่องกงอยู่ที่ 27,330 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อปี ใกล้เคียงกับ สิงคโปร์ ที่มีจีดีพีต่อหัว 26,376 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อปี แต่วันนี้ จีดีพีต่อหัวของสิงคโปร์ได้ก้าวข้ามฮ่องกงไปถึง 1.7 เท่า และมีแนวโน้มว่าจะทิ้งห่างมากขึ้นไปเรื่อยๆ
(ข้อมูลวิกิพีเดีย 2023 จีดีพีต่อหัวสิงคโปร์ 91,100 ดอลลาร์ อันดับ 5 ของโลก ฮ่องกง 52,429 ดอลลาร์ อันดับ 18 ของโลก ไทยแลนด์ 8,181 ดอลลาร์ อันดับ 84 ของโลก)
สาเหตุที่ทำให้เสน่ห์ของฮ่องกงจืดจาง เกิดขึ้นในปี 2020 หลังจากที่มีการออก กฎหมายด้านความมั่นคงแห่งชาติ ทำให้มีการจับกุมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และมาตรการที่เข้มงวดในช่วงโควิด ทำให้นักธุรกิจต่างชาติทยอยเก็บกระเป๋าออกจากฮ่องกงในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา ประเมินว่ามีชาวต่างชาติและชาวฮ่องกงเผ่นออกจากฮ่องกงไม่น้อยกว่า 200,000 คน ตรงข้ามกับ สิงคโปร์ ที่ระบุว่า ปี 2022 มีนักธุรกิจต่างชาติเดินทางเข้าไปปักหลักที่สิงคโปร์เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงก่อนโควิด คะแนนนิยมที่สิงคโปร์ได้รับอย่างท่วมท้นก็คือ เป็นเมืองที่สะอาด ต้นหมากรากไม้เขียวขจี (ไม่มีโครงการ 7 ชั่วโคตรทิ้งคาไว้ทุกมุมเมืองเหมือน กทม.) และประเด็นสำคัญที่สุด ไม่มีปัญหาการคอร์รัปชัน (ไม่เหมือนไทยแลนด์ที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชันทุกซอกทุกมุม แม้กระทั่งแผงขายลอตเตอรี่ก็ยังต้องจ่ายส่วย)
แต่การหลั่งไหลเข้าไปปักหลักในสิงคโปร์ของนักธุรกิจต่างชาติ ก็ทำให้ชาวสิงคโปร์เดือดร้อนความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาบ้านและค่าเช่าบ้านแพงขึ้นต่อเนื่อง 12 ไตรมาส ราคาบ้านของรัฐบาลเพิ่มขึ้นถึง 32% ทำให้ชาวสิงคโปร์เริ่มไม่พอใจรัฐบาลของนายกฯ ลี เซียนลุง คนรุ่นใหม่หันไปเลือกพรรคตรงข้ามรัฐบาลมากขึ้น ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์ต้องเพิ่มภาษีชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์จาก 30% เป็น 60% เพื่อให้ชาวสิงคโปร์รู้สึกสบายใจขึ้น ไม่ใช่ยกเว้นภาษีให้ชาวต่างชาติตะพึดตะพือโดยไม่เห็นหัวคนไทย
ปัญหาที่นักลงทุนต่างชาติเจอใน ฮ่องกง สิงคโปร์ ยังมีอีกมาก จึงไม่แปลกใจที่ไทยจะอยู่ใน List เป้าหมายที่นักลงทุนต่างชาติอยากเข้ามาลงทุน สิ่งที่คนไทยต้องตระหนักเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติก็คือ การมีรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ไม่โกงกินกันมูมมาม รับรองว่าไทยจะเป็นแดนสวรรค์ของนักลงทุนต่างชาติเลยทีเดียว.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" เพิ่มเติม