และก็เช่นเดียวกันกับในประเทศไทยภาพของ “มารีเมกโกะ” แบรนด์ไลฟ์สไตล์แฟชั่น ที่โดดเด่นด้วยลายพิมพ์และสีสันอันเป็นเอกลักษณ์สัญชาติฟินแลนด์ถูกหยิบยกขึ้นแท่น แบรนด์ในดวงใจเช่นเดียวกัน โดยบริหารภายใต้กลุ่มบริษัท ธนจิรา กรุ๊ป
นายธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท ธนจิรา กรุ๊ป ผู้นำเข้าแบรนด์มารีเมกโกะอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เล่าถึงการเดินทางตลอด 8 ปีที่ผ่านมาของแบรนด์มารีเมกโกะในประเทศไทยว่า จากวันแรกจนถึงปัจจุบันแบรนด์มารีเมกโกะ ไม่เคยหยุดพัฒนาและค้นหาสิ่งใหม่ๆ โดยในปีนี้เมื่อเข้าสู่ปีที่ 9 มารีเมกโกะ ประเทศไทยจึงได้เพิ่มกลยุทธ์พัฒนาแบรนด์ด้วยการขยายการรับรู้ และการเข้าถึงแบรนด์ผ่านการสร้างประสบการณ์ร่วมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จากการต่อยอดและเพิ่มไลน์จากธุรกิจเสื้อผ้า และของใช้ภายใต้บ้าน สู่ธุรกิจไลฟ์สไตล์อาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้ จาน ชาม และ ของตกแต่งบ้านจาก Home Collection เข้ามาเป็นจุดเชื่อมโยงให้กลมกลืนและเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของคนไทย
สำหรับแบรนด์มารีเมกโกะเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2558 โดยเริ่มต้นจากสินค้าที่เข้าถึงได้ง่ายทั้งลายพิมพ์ การใช้งาน รวมไปถึงราคาที่จับต้องได้ จนกลายเป็นที่นิยมและรู้จักอย่างแพร่หลายอย่าง กระเป๋า Tote bag และขยายไปสู่สินค้า Ready to wear และ Home Collection ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของคนไทยมากยิ่งขึ้น
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมารีเมกโกะ ประเทศไทย ได้วางตำแหน่งการตลาด และกลยุทธ์ไว้อย่างชัดเจนโดยมีเป้าหมายให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงดีเอ็นเอของสินค้าอย่างแท้จริง ขณะที่กลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์ คือ YWN มาจาก Youth (คนรุ่นใหม่), Women (ผู้หญิง) และ Netizen (ชาวเน็ต) และในยุคปัจจุบันที่ทุกคนติดตาม ข่าวสาร และรับรู้ผ่านโซเชียลมีเดียหรืออินเทอร์เน็ต เมื่อแบรนด์มีการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น จึงสามารถขยายการส่งต่อประสบการณ์ของแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น
“ในปีนี้เรามุ่งเน้นทำให้แบรนด์มารีเมกโกะ แข็งแกร่งกว่าเดิม เพราะเราเชื่อว่าแบรนด์ที่แข็งแกร่ง จะอยู่ใน Top of Mind ของผู้บริโภค ซึ่งมีผลต่อยอดขาย เราจึงเดินหน้าวางกลยุทธ์สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านการเปิดตัว Marimekko Kafé ซึ่งถือว่าเป็นการรวมคีย์ไฮไลต์ของแบรนด์มาไว้ในที่เดียว โดยที่ยอดขายสินค้ารีเทลที่มีคาเฟ่รวมอยู่ด้วยจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย โดยเฉพาะหมวด Home Collection”
ขณะที่กลยุทธ์สำคัญของแบรนด์คือ การเชื่อมโยงสินค้าของแบรนด์ไปสู่ผู้บริโภค ผ่านการสร้างประสบการณ์ร่วม โดย มารีเมกโกะ ประเทศไทย มีสัดส่วนยอดขายจากกลุ่มสินค้า Ready-to-wear อย่างเสื้อผ้า ซึ่งมากที่สุด คิดเป็น 49% ซึ่งแตกต่างจาก มารีเมกโกะ ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ที่ยอดขายส่วนใหญ่จะเป็นสินค้ากลุ่ม Home Collection สำหรับกลุ่มลูกค้า Ready-to-wear เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่มีกำลังซื้อสูง รองลงมาคือสินค้ากลุ่ม Bags & Accessories คิดเป็น 30% และถัดมาคือกลุ่ม Home Collection 20% และ 1% คืออื่นๆ จากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และได้ใช้สินค้าแล้วเกิดความพึงพอใจ จึงกลับมาเป็นลูกค้าซื้อซ้ำ และเป็นแฟนคลับของแบรนด์ในที่สุด
ซึ่งครั้งแรกได้มีการชิมลางก่อนด้วย Marimekko Pop Up Café แห่งแรกที่ เซ็นทรัล เอมบาสซี ในปีที่ผ่านมา พบว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเนื่องจากไม่มีที่ใดในโลก จึงนำมาสู่ Marimekko Kafé ที่ ดิ เอ็มโพเรียม ขณะที่ในคาเฟ่จะมีเมนูอาหารประมาณ 20 เมนู เครื่องดื่ม 20 เมนู กาแฟ 10-13 เมนู โดยราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 100 บาท ส่วนการขยายสู่สาขาที่ 3 เบื้องต้นมองเป็นที่เซ็นทรัลฯเชียงใหม่ รวมทั้งยังมีแผนการขยายแบรนด์ Marimekko สู่ตลาดต่างประเทศอย่างเอเชียตะวันตกเฉียงใต้อีกด้วย
ขณะเดียวกันรายได้รวมโดยประมาณการของธนจิราฯ ปีที่ผ่านมารวม 1,200 ล้านบาท ขณะที่ รายได้โดยประมาณของ มารีเมกโกะ ประเทศไทย จะอยู่ที่ 200 ล้านบาท
ดังนั้นด้วยความที่มารีเมกโกะเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่ครอบคลุมทุกบริบทในชีวิตประจำวัน ที่ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า กระเป๋า หรือจาน ชาม แต่เป็นแบรนด์ที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Marimekko ยังคงทรงพลังและเบ่งบานไปทั่วโลก รวมทั้งยังคงเป็นแบรนด์แห่งชาติที่ครองใจคนไทยได้ทุกช่วงเวลา...