ทรูมันนี่ (TrueMoney) ตอกย้ำจุดยืนซูเปอร์แอปด้านการเงิน พัฒนาบริการเป็น One-Stop Service ชูบริการสแกนจ่ายที่ครอบคลุมที่สุดในไทย ทั้งการใช้จ่าย ออม และลงทุน ภายใต้แนวคิด “เป็นไปได้ ได้ทุกคน” รุกขยายบริการผ่าน 3 กลยุทธ์ Ease, Value และ Access พร้อมดึงศิลปินระดับโลก “ลิซ่า แบล็กพิงก์” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ร่วมแคมเปญการสื่อสารระดับประเทศ
นางสาวณัฐวดี แซ่เอี้ย ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และนวัตกรรมทางธุรกิจ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด กล่าวว่า จากการศึกษาผู้ใช้งาน ทรูมันนี่ พบว่า มีคนจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน เนื่องจากข้อจำกัดต่างๆ เช่น ความรู้ เวลา ทุนทรัพย์ จะเห็นได้จากสถิติเงินฝากต่ำกว่า 5 หมื่น มากกว่า 88% และมีจำนวนผู้ลงทุนคิดเป็น 4.2% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ทรูมันนี่จึงมุ่งมั่นทลายข้อจำกัดผ่านการนำเสนอบริการใน 3 กลุ่ม ได้แก่
1. บริการในกลุ่มใช้จ่าย ทั้งการจ่ายออนไลน์ ออฟไลน์ โอนเงิน ใช้จ่ายต่างประเทศ และวงเงินใช้ก่อนจ่ายทีหลัง (Paynext) สำหรับคนทั่วไปที่วงเงิน 10,000 บาท และกลุ่ม SME ในวงเงิน 200,000 บาท โดยไม่ต้องใช้สลิปเงินเดือน รู้ผลอนุมัติทันที
2. บริการในกลุ่มการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการออมดอกเบี้ยสูงเริ่มต้นที่ 2% พร้อมรับสิทธิเงินคืน การลงทุนผ่านกองทุนรวมด้วยงบเริ่มต้น 1 บาท และซื้อแผนประกัน พร้อมสิทธิประโยชน์หลากหลาย ซึ่งช่วยส่งเสริมการออมและวางแผนสร้างความมั่งคั่งให้กับ first jobber
3. บริการสนับสนุนธุรกิจ ด้วยระบบสมาชิก และฟีเจอร์โปรโมตร้านค้า เพื่อตอบสนองความต้องการคนยุคนี้ที่อยากมีกิจการของตัวเอง แต่มีเงินทุนไม่มาก
นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่ ฟีเจอร์แจ้งเตือนทวงเงินแทน ที่ผู้ใช้งานสามารถระบุข้อความและเวลาแจ้งเตือนให้ระบบทวงเงินไปยังผู้ใช้งานคนอื่นได้และ Recurring Manager (ผู้ช่วยจัดการออมและจ่าย) โดยสามารถดูยอดสรุปค่าบริการต่างๆ และตั้งการแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดจ่าย อีกทั้งยังสามารถตั้งค่าให้ตัดเงินจากบัญชีทรูมันนี่ไปฝากเป็นเงินออมได้ทุกเดือน พร้อมรับดอกเบี้ยสูงสุดถึง 4% รวมถึงระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ TrueMoney Secure ไม่ว่าจะเป็นระบบตรวจจับและแจ้งเตือนพฤติกรรมต้องสงสัยแบบเรียลไทม์ ฟีเจอร์ยืนยันตัวตนและเข้ารหัสหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการสแกนใบหน้าเพื่ออนุมัติรายการตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป
ปัจจุบัน ทรูมันนี่มีผู้ใช้บริการทั้งหมด 27 ล้านคน และมี active user อยู่ที่ประมาณ 17 ล้านคนต่อเดือน โดยสัดส่วนผู้ใช้งานอันดับหนึ่งเป็นกลุ่มคน Gen y อายุระหว่าง 22-40 ปี อยู่ที่ประมาณ 40% มีการใช้จ่ายต่อเดือนเฉลี่ยคนละ 3,000-4,000 บาท นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายไปกับ Digital content มากที่สุด เช่น การซื้อแอปพลิเคชัน สมัครบริการ streaming นอกจากนี้ ยังมี Financial account อยู่ที่ 2.5 ล้านบัญชี โดยเป็นบัญชี Paynext จำนวน 1.3 ล้านบัญชี
โดยในปีที่ผ่านมา ได้พยายามขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนที่มีอายุซึ่งมีกำลังซื้อ ผ่านการเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมกับเซเว่นอีเลฟเว่นและโลตัส ซึ่งได้รับผลตอบที่ดี
สำหรับเป้าหมายในปีนี้ คาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานจาก 27 ล้านคน เป็น 35 ล้านคน และตั้งเป้าภายในปี 2025 จะสามารถทำกำไรได้ 50% จากบริการทางการเงิน ด้วยการทำให้ยอด active users เพิ่มขึ้นทุกเดือนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และมีผู้ใช้บริการทางการเงินไม่น้อยกว่า 20% ของผู้ใช้บริการทั้งหมด.